รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ.2065 ผ่านการดำเนินงานใน 5 สาขาหลัก ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยสาขาเกษตร ถือเป็นหนึ่งในสาขาหลัก ที่มีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกลง 4.11 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า(MtCO2eq) ผ่านการดำเนินงาน อาทิ มาตรการจัดการของเสียภาคปศุสัตว์ มาตรการลดการใช้ปุ่ยเคมี รวมถึงมาตรการการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง
ทั้งนี้ จากข้อมูลสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2566 พบว่า ไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ที่ 61.9 ล้านไร่ แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 62% ภาคเหนือ 16.4% ภาคกลาง 12.6% และภาคใต้ 9% ในจำนวนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทำนาเปียกสลับแห้งถึง 10.6 ล้านไร่ เพื่อพัฒนาสู่การทำคาร์บอนเครดิต ซึ่งการเปลี่ยนวิธีปลูกข้าวเป็นแบบเปียกสลับแห้ง 1 ไร่ คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.3-0.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด (WAVE BCG) ผู้ให้บริการ Climate Solution ครบวงจร ในเครือบริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ (WAVE) เป็นหนึ่งของผู้ประกอบการได้เข้ามามีส่วนร่วมผลักดันโครงการ Climate พัฒนา “การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง” นวัตกรรมการเกษตรยุคใหม่บนที่นากว่า 3,300 ไร่ มุ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
นายกรกช สงวนปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด (WAVE BCG) กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นก้าวสู่ผู้นำด้านคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ในปี 2568 จึงเดินหน้าโครงการ “Climate Project” เพื่อจัดหาและพัฒนา รวมถึงบริหารจัดการโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction Project) หลากหลายรูปแบบ
โดยนำร่องโครงการกับภาคเกษตรกรรม ด้วยการพัฒนานวัตกรรมแห่งการเกษตรยุคใหม่ “ปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง” (Alternate Wetting and Drying: AWD) โดยจะส่งเสริมการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวให้กับเกษตรกรไทยใน จ.สุพรรณบุรี บนที่นากว่า 3,300 ไร่ มุ่งลดปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เพื่อขับเคลื่อนสู่การทำเกษตรกรรมคาร์บอนตํ่าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
อีกทั้ง สนับสนุนองค์กรต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมลดภาวะโลกร้อน ซึ่งการเปลี่ยนวิธีปลูกข้าวเป็นแบบเปียกสลับแห้ง 1 ไร่ คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.3-0.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
การส่งเสริมการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ให้กับเกษตรกรเป็นการสนับสนุนเทคโนโลยีการใช้โดรนเพื่อการเกษตรและให้ความรู้การปรับเปลี่ยนวิธีการทำนา เริ่มตั้งแต่เทคนิคการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ปล่อยให้นามีดินแห้งเป็นระยะ จะช่วยลดการเกิดกระบวนการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน ทำให้การปล่อยก๊าซมีเทน (CH4) ลดลง ซึ่งก๊าซมีเทนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 25-28 เท่า เมื่อเทียบกับการทำนานํ้าขังแบบปกติ อีกทั้งวิธีการปลูกข้าวดังกล่าวยังช่วยเพิ่มผลผลิต เนื่องจากจะกระตุ้นให้รากของต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี หาอาหารในดินลึกขึ้น ทำให้ระบบรากแข็งแรงและยาวทนทานต่อโรค
จากข้อมูลองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.รายงานว่า บริษัท เวฟ บีซีจี ได้จัดตั้งโครงการ Climate Project เป็นตัวช่วยสร้างความร่วมมือในการดำเนินการให้องค์กรที่มีความประสงค์ลดการปล่อยคาร์บอน เช่น โครงการปลูกป่า 3 ล้านไร่ ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสนับสนุนเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ในการการพัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อลดการ ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง
รวมทั้งการสนับสนุนการการทดลองปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน และยังเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรลดรายจ่าย และเสริมรายได้จากการดำเนินกิจกรรมด้วยคาร์บอนเครดิต ในขณะที่ภาคธุระกิจที่ร่วมลงทุนสามารถได้รับประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัท เวฟ บีซีซี มีเป้าหมาย ในการรับรองคาร์บอนเครดิตมากว่า 5 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2566 และเพิ่มเป็น 2.6 ล้าน ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2569
โครงการปลูกข้าวเปียกสลับแห้ง ขับเคลื่อนสุพรรณบุรีสู่เมืองแห่งข้าวคาร์บอนตํ่า เป็นการเสริมสร้างศักยภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรในจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า อำเภอสองพี่น้อง และอำเภอหนองหญ้าไซ มีเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ จำนวน 101 ราย จำนวน 316 แปลง รวมเป็นพื้นที่ ประมาณ 3,300 ไร่ ด้วยนวัตกรรมการปลูกข้าวเปียกสลับแห้ง เพื่อลดการปลดปล่อย ก๊าซเรือนกระจกจากการทำนา และสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต
ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นตามขั้นตอน เพื่อขอขึ้นทะเบียนโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ตามมาตรฐานประเทศไทยมาตรฐานขั้นสูง(Premium T-VER) ก่อนที่จะมีการรับรองคาร์บอนเครดิตต่อไป ซึ่งโครงการนี้ มีระยะเวลาในการดำเนินการ 20 ปี คาดว่าจะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จากการดำเนินกิจกรรมโครงการได้ประมาณ 30,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง