บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหาร ซีพีเอฟดำเนินธุรกิจใน 14 ประเทศ ทั่วโลก ครอบคลุมทั้งทวีปอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ได้ประกาศความมุ่งมั่นครั้งสำคัญบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน ด้วยการตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ตลอดห่วงโซ่คุณค่าภายในปี 2050
นับเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งแรกของโลกที่ได้รับการรับรองเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากองค์กร Science Based Targets initiative (SBTi) เพื่อร่วมจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
ซีพีเอฟมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การจัดการข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ในการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยระยะสั้นภายในปี 2030 มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการใช้พลังงานลง 42 % และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเปลี่ยนแปลงและจัดการที่ดิน 30.3 % และมีเป้าหมายระยะยาวภายในปี 2050 ลดการปล่อย GHG จากการใช้พลังงาน 90% และจากการเปลี่ยนแปลงและจัดการที่ดิน 72.%
นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ในช่วง 6 ปี (2568-2573) ซีพีเอฟจะใช้เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน
รวมถึงการจัดหาวัตถุดิบ จากแหล่งที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ร่วมพัฒนาการดำเนินงานของคู่ค้า ด้านพลังงานหมุนเวียน ด้านจัดการของเสีย และลดปริมาณขยะอาหารให้เป็นศูนย์ ด้านการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดมากขึ้น สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ การใช้ระบบ AI และ IoT ด้านการพัฒนาสินค้า และบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน
แผนการลงทุนดังกล่าว จะขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ “4 อัจฉริยะ” ครอบคลุมทุกมิติของการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์คุณค่าเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ประกอบด้วย
Carbon Reduction from Sustainable Sourcing การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบ โดยมุ่งเน้นการจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ และปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับคู่ค้าและเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อส่งเสริมแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรกรรม และเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ
โดยมีเป้าหมายการจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า สำหรับข้าวโพด ถั่วเหลือง นํ้ามันปาล์ม และมันสำปะหลัง ภายในปี 2025 ขยายการจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า ไปยังข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และกระดาษ ภายในปี 2030 และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบันกิจการประเทศไทย ข้าวโพดที่ใช้มาจากแหล่งที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า 100 % แล้ว
Power Circulation การเดินหน้าลงทุนและเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบทั่วทั้งองค์กร โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคารและโรงงาน (Solar Rooftop) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองภายในสถานประกอบการ ลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิลที่ก่อให้เกิดมลพิษ นอกจากนี้ ยังมีการนำเชื้อเพลิงชีวมวลมาใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิต และลงทุนในระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากของเสียทางการเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน แต่ยังสร้างพลังงานหมุนเวียนเพื่อการดำเนินงานภายในฟาร์มและโรงงาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2022 ซีพีเอฟได้ยกเลิกการใช้ถ่านหิน 100% และเปลี่ยนเป็นชีวมวล สำหรับกิจการในไทย และเวียดนาม และจะขยายผลครบทุกประเทศ ภายในปี 2030 และในปี 2025 นี้มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 100 เมกะวัตต์ ในกิจการซีพีเอฟประเทศไทย ซึ่งรวมถึงฟาร์มคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ 7 แห่ง จะมีการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% (RE100 Farm) ภายในปี 2030
รวมถึงมีแผนลงทุนสร้างระบบไบโอแก๊สไฮบริดของฟาร์มซีพีเอฟในไทยและเวียดนามให้ครบ 100 % ภายในปี 2030 และขยายไปฟาร์มซีพีเอฟทั่วโลกภายในปี 2040 เมื่อถึงปี 2050 กิจการของซีพีเอฟทั่วโลกจะใช้พลังงานหมุนเวียนผลิตไฟฟ้า 100% รวมถึงการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในกิจการมากกว่า 300 คัน ภายในปี 2030 ซึ่งในปี 2024 ซีพีเอฟมีการใช้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็นสัดส่วนราว 33% มาจากชีวมวล 65% ก๊าซชีวภาพ 32% และพลังงานแสงอาทิตย์ 3% หรือเทียบเท่ากับการติดตั้ง ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ 980 เมกะวัตต์
Future Generation การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) ในการบริหารจัดการและรายงานข้อมูลความยั่งยืน ซีพีเอฟได้ลงทุนในแพลตฟอร์มก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อัจฉริยะ (SAP Net-Zero Intelligence Platform: SNIP) ซึ่งได้เริ่มใช้ในกิจการประเทศไทยและกำลังจะขยายไปในกิจการทั่วโลกของซีพีเอฟ มีการพัฒนาระบบโรงงานและอาคารอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้พลังงาน/ทรัพยากร และลดการปล่อย GHG มีนโยบายอาคารเขียวและใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Net-Zero Network สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทั้งพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า และพันธมิตร พัฒนาศักยภาพคู่ค้า SMEs ผ่านโครงการ SMEx ต้นทุนตํ่านำรักษ์โลก ด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์คาร์บอนตํ่า และอาหารรักษ์โลกที่ได้รับการรับรองฉลากสิ่งแวดล้อม
ซีพีเอฟในฐานะที่เป็นผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจรจากประเทศไทย ส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพ เต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และบริการออกไปทั่วโลก มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตลอดห่วงโซ่คุณค่าภายในปี 2050 โดยมีแผนการลงทุนในด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมความยั่งยืนมากกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นครัวของโลกที่ยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง