หลังจากช่วงเช้าที่ยุ่งเหยิง "มื้อกลาง" วันอาจรู้สึกเหมือนเป็นแค่ของว่างที่เราต้องการ แต่บางครั้งอาหารที่คิดว่าจะช่วยเติมพลังให้ก็ทำให้อยากจะงีบหลับลงบนโต๊ะทำงานซะไปเลย มีใครเป็นเเบบนี้บ้าง ?
Julie Stefanski โฆษกของ Academy of Nutrition and Dietetics กล่าวว่า ในฐานะนักโภชนาการ เธอได้ยินคนพูดแบบนั้นบ่อยครั้งตลอดอาชีพการงาน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะได้รับการตอบสนองเช่นนั้น
ความรู้สึกเหนื่อยล้าหลังรับประทานอาหารกลางวันหรือหลังมื้ออาหาร โดยทั่วไปเรียกว่า "อาการง่วงซึมหลังอาหาร" หรือเรียกอีกอย่างว่า "อาการโคม่าอาหาร"
หลังจากที่เรากินอาหารเข้าไป ร่างกายอาจผลิต "เซโรโทนิน" มากขึ้น ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ควบคุมการนอนหลับและอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาหารนั้นมี "ทริปโตเฟน" กรดอะมิโนจำเป็นสูง ซึ่งพบได้ในโปรตีน เช่น ไก่ ชีส และปลา ตามรายงานของคลีฟแลนด์ คลินิก แนวโน้มที่จะเหนื่อยหลังรับประทานอาหารไม่ได้บ่งชี้ถึงสิ่งที่ผิดปกติ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจคิดว่าเป็นปัญหาเนื่องจากบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
แต่อาจมีปัจจัยเพิ่มเติมที่ทำให้การตอบสนองตามธรรมชาตินี้รุนแรงขึ้น ทำให้การทำงานที่เหลือของวันหรือกิจกรรมต่าง ๆ รู้สึกเหมือนเป็นภาระ นี่คือสิ่งที่ควรระวังและวิธีปรับเปลี่ยน
ต่อไปนี้คือสาเหตุและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
อาหารหนักหรือหวาน
เมื่อพูดถึงสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยเกินไปหลังรับประทานอาหาร สาเหตุทั่วไปก็คือการรับประทานอาหารที่หนักทั้งในด้านปริมาณหรือคุณภาพ บางคนกินมากเกินไปแทนที่จะหยุดเมื่อรู้สึกอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีความเครียดจากการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
โฆษกของ Academy of Nutrition and Dietetics กล่าวว่า คนที่รู้สึกเหนื่อยมากหลังมื้ออาหารอาจพิจารณาการรับประทานอาหารให้ช้าลงและลดปริมาณลงเล็กน้อยจนถึงจุดที่ไม่กินมากเกินไป เพราะไม่ว่าจะกินอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเครต ไขมัน โปรตีน หากกินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการหรือออกแบบมาเพื่อรับมือ ร่างกายจะใช้เวลาย่อยอาหารนั้นนาน เเละหากไม่สามารถหลีกหนีจากสิ่งที่ทำอยู่เพื่อร่วมรับประทานอาหารได้ การสละเวลาเพียง 5 นาทีก็สามารถช่วยได้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าว
บางครั้ง ส่วนประกอบของอาหารบางชนิดก็มีส่วนทำให้เหนื่อยล้าได้ ยกตัวอย่างเช่น ไขมันเป็นสารอาหารที่ย่อยยากที่สุด เนื่องจากโมเลกุลของไขมันมีขนาดใหญ่กว่าโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตมาก หากทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอดหรือพิซซ่า นั่นอาจทำให้รู้สึกเหนื่อยได้ อาหารที่มีน้ำตาลเพิ่มสูงหรือคาร์โบไฮเดรตขัดสีหรือผ่านกระบวนการสูงสามารถให้ผลเช่นเดียวกัน เนื่องจากวิธีที่ร่างกายเผาผลาญอาหารเหล่านี้ เมื่อเทียบกับน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตในอาหารธรรมชาติหรืออาหารแปรรูปน้อยที่สุด
เช่นเดียวกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสามารถทำให้รู้สึกเหนื่อย นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังเป็นยากล่อมประสาท
คำแนะนำ
การเลือกอาหารและของว่างที่สมดุลมากขึ้น
สามารถช่วยให้รู้สึกเหนื่อยน้อยลงหลังรับประทานอาหาร ผู้เชี่ยวชาญกล่าว เช่น ซุปถั่วและสลัดกับน้ำสลัดน้ำส้มสายชูบัลซามิกน้ำมันมะกอก โปรตีนไม่ติดมัน เช่น ปลาแซลมอน เนื้อ ไก่ขาว หรือถั่ว และท็อปปิ้งอื่นๆ ที่ไม่มีน้ำตาลสูง การห่อด้วยธัญพืชไม่ขัดสีกับเนื้อไก่งวงขาว ชีส และผักเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ถ้าลำบาก ลองกินแอปเปิ้ลกับเนยถั่วแทนการคว้าลูกอมแท่ง
การนอนหลับไม่ดี
การนอนหลับจะควบคุมฮอร์โมนรวมถึงระบบย่อยอาหารด้วย และถ้าอดนอน ร่างกายก็มีแนวโน้มที่จะระงับฮอร์โมนที่เรียกว่า "เลปติน" รู้จักกันในชื่อฮอร์โมนความอิ่ม ซึ่งจะส่งสัญญาณว่า “ฉันอิ่มแล้วและไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว” หรือเพิ่มฮอร์โมน "เกรลิน" ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความหิว
การพักผ่อนไม่เพียงพอยังส่งผลเสียต่อทักษะการตัดสินใจ การควบคุมอารมณ์ และสมองส่วนที่ควบคุมการบริโภคอาหาร ทำให้ยากต่อการต้านทานความอยากอาหารรสจัด
คำแนะนำ
ปรับปรุงการนอนได้
โดยให้แน่ใจว่านอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ในสภาพแวดล้อมที่เย็น มืด และเงียบสงบ หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีนอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนเข้านอนตามปกติ หรือดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน การมีกิจวัตรผ่อนคลายและจัดห้องนอนไว้สำหรับการนอนหลับเท่านั้นก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
ปัญหาน้ำตาลในเลือด
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า บางคน ความเหนื่อยล้าหลังมื้ออาหารสามารถส่งสัญญาณถึงสิ่งที่ร้ายแรงกว่าได้ นมข้าวโอ๊ต เครื่องดื่มออร์แกนิกมังสวิรัติเพื่อสุขภาพที่มีเกล็ด ดีหรือไม่ดี? การศึกษากล่าวว่า นมจากพืชและนมวัวนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการไม่เท่ากันเสมอไป
สถิติแสดงให้เห็นในขณะนี้ว่า ผู้คนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาเป็นโรคเบาหวานหรือภาวะเสี่ยงก่อนเป็นโรคเบาหวานโดยไม่รู้ตัว เมื่อมีคนไม่สามารถเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้อย่างเหมาะสม และมีปริมาณอินซูลินในเลือดสูง ซึ่งอาจทำให้ระดับพลังงานลดลงได้
หากรู้สึกง่วงนอนเป็นประจำหลังรับประทานอาหาร แม้ว่าจะปรับอาหารแล้วก็ตาม ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบฮีโมโกลบิน A1c การทดสอบวัดระดับน้ำตาลในเลือดโดยเฉลี่ยและแสดงปริมาณกลูโคสที่จับกับฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง ถ้ามันสูงแสดงว่าร่างกายกำลังดิ้นรนเพื่อเผาผลาญอาหารและเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต
ข้อมูล CNN