environment

เปิดรายชื่อ 14 บริษัทยักษ์ฟอสซิล ตัวการก่อคลื่นความร้อนรุนแรงกว่า 50 ครั้ง

งานวิจัยชี้ ผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลและซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกมีส่วนเพิ่มความรุนแรงของคลื่นความร้อน 213 ครั้งใน 63 ประเทศ ระหว่างปี 2000–2023 โดยพบว่าเพียง 14 บริษัทใหญ่ ปล่อยมลพิษมากพอที่จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนกว่า 50 ครั้ง

ผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลและซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกได้เพิ่มความรุนแรงของคลื่นความร้อนหลายร้อยครั้งทั่วโลกในศตวรรษนี้ ตามการศึกษาเชิงวิชาการที่ถือเป็นครั้งแรกในลักษณะนี้

นักวิจัยได้พิจารณาคลื่นความร้อน 213 ครั้งที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2000 ถึง 2023 ใน 63 ประเทศ โดยใช้กรอบการวิเคราะห์การระบุเหตุการณ์สุดขั้ว (Extreme event attribution framework) ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง พวกเขาได้ตรวจสอบก่อนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลทำให้เหตุการณ์เหล่านี้รุนแรงขึ้นและมีโอกาสเกิดมากขึ้นเพียงใด จากนั้นจึงระบุถึงการมีส่วนร่วมของบริษัทฟอสซิลและซีเมนต์ขนาดใหญ่ 180 แห่ง หรือที่เรียกว่า “Carbon majors” โดยใช้ข้อมูลการปล่อยมลพิษของบริษัทเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม เป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงบริษัทแต่ละแห่งเข้ากับคลื่นความร้อนที่เฉพาะเจาะจงและบางครั้งถึงขั้นคร่าชีวิต เช่น เหตุคลื่นความร้อนจาก “Heat dome” ในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ปี 2021 และคลื่นความร้อนในยุโรป ปี 2023

เพียง 14 บริษัทก่อมลพิษมากพอที่จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนกว่า 50 ครั้ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทเหล่านี้รวมถึง Saudi Aramco, Gazprom, ExxonMobil, Chevron, BP และ Shell

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ ซึ่งขับเคลื่อนโดยก๊าซเรือนกระจกเป็นหลัก ได้เพิ่มความถี่และความรุนแรงของคลื่นความร้อนตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา ทุกคลื่นความร้อนในโลกขณะนี้มีความรุนแรงขึ้นและมีโอกาสเกิดมากขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์

ความร้อนเป็นอันตรายต่อมนุษย์

เนื่องจากบั่นทอนกระบวนการทางสรีรวิทยาที่ทำให้ร่างกายเย็นลง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคลมแดดและโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

งานศึกษาที่เผยแพร่ระบุว่า ครึ่งหนึ่งของภาวะโลกร้อนสามารถโยงกลับไปที่บริษัทเหล่านี้ 180 แห่ง โดย 14 อันดับแรกปล่อยมลพิษมากเท่ากับบริษัทอื่น ๆ รวมกัน บริษัทเหล่านี้ได้แก่ อดีตสหภาพโซเวียต, สาธารณรัฐประชาชนจีน (สำหรับถ่านหิน), Saudi Aramco, Gazprom, ExxonMobil, Chevron, National Iranian Oil Company, BP, Shell, อินเดีย (สำหรับถ่านหิน), Pemex, CHN Energy, สาธารณรัฐประชาชนจีน (สำหรับซีเมนต์) และ Petrobras

รายงานชี้ว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลรายบุคคลถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อต้นเดือนมีนาคม งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า บริษัทฟอสซิลรายใหญ่ 36 แห่ง รับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่ทำให้โลกร้อนกว่าครึ่งหนึ่งทั่วโลก รวมถึง Saudi Aramco, Coal India, ExxonMobil, Chevron และ Shell

คาร์บอนไดออกไซต์ เป็นผลพลอยได้จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ชีวมวล การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และกระบวนการอุตสาหกรรม เช่น การผลิตซีเมนต์ ถือเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งสำคัญที่สุดในชั้นบรรยากาศ คิดเป็นประมาณสามในสี่ของการปล่อยมลพิษที่ทำให้โลกร้อน

แม้นักวิทยาศาสตร์จะเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ทั่วโลกจากฟอสซิลกลับเพิ่มขึ้นกว่า 60% นับตั้งแต่ปี 1990 และระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซต์ในบรรยากาศสูงกว่าก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมถึง 50% แล้ว

การชดใช้ความเสียหาย

คดีความที่ถือให้ธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทฟอสซิล ต้องรับผิดชอบต่อบทบาทในวิกฤตสภาพภูมิอากาศ กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา การฟ้องร้องครอบคลุมตั้งแต่ความเสียหายที่ก่อขึ้นไปจนถึงการ “Greenwashing” และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่ไม่เพียงพอ

ในเดือนกรกฎาคม ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ออกความเห็นกี่ยวกับความรับผิดชอบของประเทศต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยความเห็นนี้ยังกล่าวถึงความรับผิดชอบของบริษัท ระบุว่าการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเปิดสิทธิให้เหยื่อเรียกร้องค่าชดเชยได้

อ้างอิงข้อมูล

  • Systematic attribution of heatwaves to the emissions of carbon majors