environment

เครื่องปรับอากาศตัวเร่งภาวะโลกร้อน ปล่อยคาร์บอน 7% ต่อปี

เครื่องปรับอากาศ 2 พันล้านเครื่องทั่วโลกปล่อยคาร์บอนถึง 7% ต่อปี คาดพุ่งแตะ 5 พันล้านเครื่องในปี 2050 เร่งวงจรโลกร้อนอย่างไม่รู้จบ

เครื่องปรับอากาศกำลังกลายเป็นความจำเป็นพื้นฐานของชีวิตยุคใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับที่ชาวอเมริกันเกือบ 150 ล้านคนกำลังเผชิญในช่วงคลื่นความร้อนลูกแรกของปี 2025 ที่แผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้ และมิดเวสต์

อย่างไรก็ตาม ความเย็นที่ได้รับจากแอร์นั้นมาพร้อมต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงมาก ปัจจุบันมีเครื่องปรับอากาศกว่า 2 พันล้านเครื่องใช้งานอยู่ทั่วโลก และมีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 7% ของทั้งหมดในแต่ละปี ตามข้อมูลของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Program) ตัวเลขนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2030 และสามเท่าภายในปี 2050 เมื่อจำนวนเครื่องปรับอากาศอาจแตะ 5 พันล้านเครื่อง

การเติบโตของการใช้แอร์ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศในลักษณะวงจรย้อนกลับ โดยการใช้พลังงานที่มากขึ้นเพื่อความเย็นทำให้การปล่อยคาร์บอนสูงขึ้น ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นอีก

อังกิต กาลังกี ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำความเย็นจาก RMI องค์กรวิจัยและนโยบายสาธารณะ กล่าวว่า เครื่องปรับอากาศกำลังกลายเป็นเส้นชีวิตในโลกที่ร้อนจัดขึ้น” และเสริมว่า ปัจจุบันระบบทำความเย็นเหล่านี้มีบทบาทสำคัญทั้งด้านความเป็นอยู่ การทำงาน และสุขภาพ โดยเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการใช้ไฟฟ้าและการปล่อยคาร์บอนในระดับโลก

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เครื่องปรับอากาศมีผลต่อสภาพภูมิอากาศคือ สารทำความเย็น (refrigerants) ที่ใช้ในระบบเดิม เช่น R-22 หรือฟรีออน ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพในการทำความเย็น แต่มีค่าศักยภาพในการทำให้โลกร้อน (Global Warming Potential: GWP) สูงถึงเกือบ 2,000 เท่า เมื่อเทียบกับคาร์บอนไดออกไซด์

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (EPA) ได้สั่งห้ามการผลิตและจำหน่ายเครื่องรุ่นใหม่ที่ใช้ R-22 ตั้งแต่ปี 2010 และส่งเสริมการเปลี่ยนไปใช้สารทำความเย็นรุ่นใหม่อย่าง R-454B (Puron Advance) ซึ่งมี GWP อยู่ที่ 465 แม้จะยังสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ (GWP = 1) แต่ก็ต่ำกว่า R-22 อย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศรุ่นเก่าที่ใช้สารทำความเย็นแบบเดิมจึงถือเป็นทางเลือกที่สำคัญในการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ อย่างไรก็ตาม การกำจัดเครื่องเก่าจำเป็นต้องดำเนินการอย่างถูกวิธี โดยต้องให้ช่างที่ได้รับการรับรองจาก EPA ระบายสารทำความเย็นออกก่อน จากนั้นจึงสามารถนำไปรีไซเคิลหรือจัดการตามระบบกำจัดขยะของรัฐหรือท้องถิ่นได้

ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีสมาร์ตแอร์เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เครื่องรุ่นใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อ WiFi และควบคุมผ่านแอปพลิเคชันได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเปิดแอร์ล่วงหน้าเพื่อลดอุณหภูมิห้องก่อนกลับถึงบ้าน และลดระดับการทำงานของแอร์ในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเย็น ซึ่งจะช่วยลดความต้องการไฟฟ้าในระบบโดยรวม

ข้อมูลจาก RMI ระบุว่าเครื่องปรับอากาศคิดเป็น 40%–60% ของความต้องการพลังงานสูงสุดในระบบไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน การลดการใช้แอร์ในช่วงเวลาเหล่านี้จึงเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงของระบบไฟฟ้าล่มหรือไฟดับ อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าไฟ เนื่องจากอัตราค่าไฟในช่วงพีคมักจะสูงกว่าปกติ

เครื่องที่ออกแบบอย่างชาญฉลาดสามารถตรวจจับและวัดภาระพลังงานที่ต้องใช้เพื่อทำให้ห้องเย็นได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากตัวเครื่องแล้ว การออกแบบอาคารและสิ่งปลูกสร้างก็มีบทบาทสำคัญในการลดความร้อนโดยรวม เช่น การติดฉนวนกันความร้อนที่มีคุณภาพ การใช้กันสาดหรือม่านเพื่อบังแดด และการทาสีหลังคาเป็นสีขาวเพื่อสะท้อนความร้อน แทนที่การใช้หลังคาสีดำแบบยางมะตอยที่ดูดซับความร้อนมากกว่า

มีเทคนิคเชิงรับหลายอย่างที่สามารถนำมาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบอาคาร

กาลังกีกล่าว พร้อมแนะนำว่าการเลือกซื้อ เช่า หรือปรับปรุงบ้านโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงาน ควบคู่กับการใช้ระบบทำความเย็นรุ่นใหม่และฮีตปั๊มที่มีประสิทธิภาพสูง จะช่วยลดทั้งการปล่อยคาร์บอน และการใช้พลังงานในภาพรวมได้อย่างยั่งยืน

ตัวอย่างอื่น ๆ ของแนวทางปรับตัว ได้แก่ การผ่อนปรนข้อบังคับเรื่องเครื่องแต่งกายในสำนักงาน เพื่อไม่ต้องใช้แอร์แรงเกินความจำเป็น เช่น การไม่บังคับใส่สูทในช่วงฤดูร้อน

รายงานจาก MIT Technology Review ในปี 2022 ระบุว่า 88% ของบ้านเรือนในสหรัฐฯ มีเครื่องปรับอากาศใช้งาน ขณะที่ในยุโรปมีไม่ถึง 10% นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ใช้งานในสหรัฐฯ มักตั้งอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 74 องศาฟาเรนไฮต์ แม้ไม่มีใครอยู่บ้าน และปรับลงเหลือ 70 องศาเมื่อสมาชิกกลับเข้าบ้าน