energy

ปีหน้า ค่าไฟขาขึ้น ชี้ราคาพลังงาน-หนี้กฟผ.บีบ

กกพ.ชี้ทิศทางค่าไฟฟ้าปี 2567 เป็นช่วงขาขึ้น เหตุปัจจัยต้นทุนราคาพลังงานในตลาดโลกพุ่ง จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และต้องทยอยคืนหนี้ค้างชำระค่าเอฟทีให้กับ กฟผ.

สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ขยายวงกว้างมากขึ้น กดดันราคานํ้ามันดิบในตลาดโลก ล่าสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ราคานํ้ามันดิบูไบได้ปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ 90 ดอลลาร์ต่สหรัฐอบาร์เรล ราคา Spot LNG อยู่ที่ 18.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอยู่ที่ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กำลังเป็นสัญญาณว่าประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า อาจจะต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าไฟฟ้าในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2567 เพิ่มขึ้น

เนื่องจากสถานการณ์ราคาพลังงานดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อราคา Pool Gas ที่กำหนดไว้ 346 บาทต่อล้านบีทียู ที่นำมาคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้า จะปรับตัวสูงขึ้นตาม ย่อมสะท้อนมาถึงค่าไฟฟ้าที่ต้องปรับตามอย่างแน่นอน
 
ปัจจุบันรัฐบาลตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ซึ่งต่ำกว่าค่าไฟฟ้าที่ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศไว้ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย เกิดส่วนต่าง 46 สตางค์ต่อหน่วย จากการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้ามาแบกรับภาระค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟทีที่ติดค้างชำระไว้ราว 38.31 สตางค์ต่อหน่วยและอีก 7.69 สตางค์ต่อหน่วย ให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ร่วมรับภาระในวงเงิน 8,000-9,000 ล้านบาท ในการปรับลดราคาก๊าซธรรมชาติจาก 346 บาทต่อล้านบีทียู ลงเหลือ 305 บาทต่อล้านบีทียู

"ผลการคำนวณตามต้นทุนค่าเอฟทีงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 เดิมอยู่ที่ 66.89 สตางค์ต่อหน่วย เป็นในส่วนของต้นทุนเชื้อเพลิง 28.58 สตางค์ต่อหน่วย และการใช้หนี้คืนกฟผ. 38.31 สตางค์ ส่งผลให้ภาระหนี้สะสมของกฟผ. ยังคงอยู่ที่ 117,139 ล้านบาท”
 หากมาพิจารณาค่าเอฟที เป็นการคิดค่าไฟฟ้าที่กำหนดไปข้างหน้า เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ต้นทุนการซื้อไฟฟ้า ที่เปลี่ยนแปลงจากค่าไฟฟ้าพื้นฐาน จะปรับทุก ๆ 4 เดือน

โดยกกพ. จะกำกับดูแลการคำนวณให้สะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิง ตามแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไป ตามผลกระทบของราคานํ้ามันเตาราคาก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และราคารับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ

ปีหน้า ค่าไฟขาขึ้น ชี้ราคาพลังงาน-หนี้กฟผ.บีบ

ในการจัดทำค่าเอฟทีแต่ละงวด ทาง กกพ. จะเริ่มดำเนินการล่วงหน้าประมาณ 45 วัน ก่อนที่ค่าเอฟทีจะบังคับใช้ในแต่ละงวด ซึ่งค่าเอฟทีงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ได้กำหนดสมมติฐาน โดยประมาณการความต้องการไฟฟ้า ราคาเชื้อเพลิงแต่ละชนิดและอัตราแลกเปลี่ยน ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2566 หลังจากนั้นจะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน 15 วัน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจประกาศค่าเอฟทีในรอบ นั้นๆ

ดังนั้น การประมาณการล่วงหน้าภายใต้สถานการณ์สงครามระหว่างประเทศที่มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง ย่อมทำให้มีความคลาดเคลื่อนได้ จากราคาพลังงานและอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป
 

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวด มกราคม-เมษายน 2567 ต้นทุนยังเป็นขาขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และสงครามรัสเซียกับยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคํ้ามันดิบและค่าเงินบาท จะทำให้ค่าเอฟทีเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10 สตางค์ต่อหน่วย

"สมมติฐานเดิมที่นำมาคำนวณค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ราคาตัวเลขราคานํ้ามันดิบดูไบที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคา Pool Gas 346 บาทต่อล้านบีทียู และอัตราแลกเปลี่ยน 33.23 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากรัฐบาลไม่มีนโยบายตรึงค่าไฟฟ้า โดยชะลอการจ่ายหนี้ที่ติดค้างกฟผ.ออกไป และลดราคาก๊าซฯจากปตท. จะทำให้ค่าไฟฟ้างวดปัจจุบันอยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย"

ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คาดว่า ต้นทุนค่าฟ้าในปีหน้า 2567 จะเป็นช่วงขาขึ้นอย่างแน่นอน ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แท้จริงจะอยู่ประมาณ 4.15-4.20 บาทต่อหน่วย หากรวมค่าใช้จ่ายหนี้ กฟผ.และ ปตท.ที่แบกรับด้วยแล้ว จะทำให้ค่าไฟรวมอยู่ที่ 4.50-4.55 บาทต่อหน่วย และคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงนี้ต่อไปอีกปีครึ่งจนจ่ายคืนหนี้ให้กฟผ.หมด ในเดือนสิงหาคม 2568 โดยอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่าราคาเชื้อเพลิงเท่ากับปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลยังมีนโยบายตรึงค่าไฟฟ้าต่อไปไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วยต่อไป โดยใช้แนวทางเดิม คือให้ทั้งกฟผ. และปตท.ช่วยกันรับภาระไปก่อน ภาระหนี้ก็จะสูงต่อไปเรื่อยๆ โอกาสได้รับคืนเห็นจะยากขึ้น และจะเกิดภาระต้นทุนค้างรับสะสม (Accumulate Factor : AF) ในงวดต่อๆไป เพิ่มมากขึ้น สะท้อนถึงสภาพคล่องทางการเงินของกฟผ. ที่ต้องกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยสูงมาดำเนินงาน
 ดั้งนั้น รัฐบาลจะต้องรีบดำเนินการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้มีการแข่งขันกันเพิ่มมากขึ้นสอดคล้องกับการเปลี่ยน แปลงทางนวัตกรรมและเทคโนโลยี

ขณะเดียวกันต้องปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติที่ยังมีการผูกขาดอยู่ ให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น และสอดคล้องกับกิจการไฟฟ้า หากดำเนินการสำเร็จจะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกลงได้ ซึ่งการดำเนินการทั้งสองอย่างจะต้องมีแผนแม่บทที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างต่อเนื่องและใช้เวลานานจึงจะสำเร็จได้