ถือเป็นรายงานฉบับแรกของเบย์วา อาร์.อี. สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จัดทำโดย Kantar บริษัทที่ปรึกษาและผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกชั้นนำระดับโลก ซึ่งสำรวจผู้มีอำนาจในการตัดสินใจด้านพลังงาน 346 คน ในองค์กรที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ในออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ข้อมูลในรายงานชี้ให้เห็นว่า ขณะนี้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ แรงต้านและแรงกดดันในภูมิภาค เช่น ปัจจัยทางสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การขาดแรงสนับสนุนจากภาครัฐ ตลอดจนราคาพลังงานและอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวน ทำให้แผนการเดินหน้าเปลี่ยนแปลงและเป้าหมายทางสภาพภูมิอากาศกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงครั้งใหญ่ อีกทั้งนโยบายภาครัฐที่ไม่ต่อเนื่องยังทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องแสวงหาความร่วมมือระหว่างกันเพื่อผลักดันเป้าหมายความยั่งยืนให้บรรลุผล
นายนิรันพัล ซิงห์ ผู้จัดการทั่วไป เบย์วา อาร์.อี. เอ็นเนอยี่ โซลูชั่น ประจำภูมิภาค เอเชียแปซิฟิค เปิดเผยว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ต้นทุนที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อ ยังคงเป็นแรงต้านหลักต่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อุปสรรคเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากองค์กรและภาครัฐเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว
รายงานฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นว่าผู้นำองค์กรได้รับแรงจูงใจให้ประสานกับพันธมิตรและคู่แข่ง เรียกร้องให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net-Zero โดยหวังว่าข้อเรียกร้องอันเร่งด่วนครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้การใช้พลังงานสะอาดในเอเชียแปซิฟิกรุดหน้ายิ่งขึ้น
ผลสำรวจระบุว่า แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานหมุนเวียน จะเป็นหนึ่งในความท้าทาย และอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ องค์กรต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิกตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว องค์กรเกือบครึ่งหนึ่งที่สำรวจได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน โดยองค์กรในเอเชียแปซิฟิก 48% มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่า 40% ภายในทศวรรษนี้ และองค์กรภายในกลุ่มนี้ 79% ตั้งเป้าที่จะบรรลุผลด้านพลังงานหมุนเวียนในอีก 5 ปีข้างหน้า
องค์กรที่ร่วมทำแบบสำรวจ เห็นคุณค่าในการเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกพลังงานที่สะอาดกว่า โดย 54% สรุปว่าพลังงานหมุนเวียนจะทำให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมดเห็นด้วยว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนจะทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบทางธุรกิจบางประเภท และอีก 42% เสนอว่าพลังงานสีเขียวจะทำให้องค์กรได้เปรียบในการสรรหาบุคลากร
ขณะที่การใช้พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาหรือโซลาร์รูฟท็อปเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะกลายเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่ถูกกว่ารัฐอุดหนุน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้นำองค์กรที่ได้ร่วมทำแบบสำรวจในรายงานฉบับนี้ ตระหนักถึงความต้องการที่มากขึ้นในการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรและคู่แข่ง และเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ทั้งนี้ สองในสาม (68%) ของบริษัทที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานหมุนเวียน เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าบริษัทต่าง ๆ ควรจัดตั้งแนวร่วมและทำงานร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนเดียวกันยังระบุว่า สนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียแปซิฟิกทำงานร่วมกันเพื่อจัดหาพลังงานหมุนเวียน
ในรายงานได้ข้อสรุปว่า ทศวรรษหน้าถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของภูมิภาคในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน แต่ยังมีความท้าทายจากหลากหลายปัญหา เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หรือกระทั่งวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายกว่าเดิม
การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานยุคเก่าถือเป็นเรื่องสำคัญและควรต้องเร่งเดินหน้าอย่างจริงจัง ผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กรต้องกล้าเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงภายในเอเชียแปซิฟิกและรวมพลังทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน ร่วมมือและกดดันภาครัฐ เร่งรัดกระบวนการและขับเคลื่อนการใช้พลังงานทดแทนให้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง