ไหว้ครูมวยไทย วธ.จัดพิธีเทิดพระเกียรติพระเจ้าเสือ "วันมวยไทย"

06 ก.พ. 2566 | 07:41 น.

ไหว้ครูมวยไทย 6 กุมภาพันธ์ 2566 "วันมวยไทย" วธ. จัดพิธีเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าเสือ “พระบิดาแห่งมวยไทย”

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันไหว้ครูมวยไทย กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้จัดพิธีเทิดพระเกียรติพระเจ้าเสือ “วันมวยไทย”

ทำความรู้จัก “มวยไทย”

"มวยไทย” ศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัวของชนชาติไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากบรรพชน ที่ได้รับการสืบทอดมาสู่ชนรุ่นปัจจุบัน เป็นศิลปะการต่อสู้และการป้องกันตัว ที่ฝึกฝนให้ร่างกายใช้อวัยวะทุกส่วนเป็นอาวุธได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ มือ เท้า เข่า ศอก รวมถึงศรีษะ จึงเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ครบเครื่องมีพิษสงรอบด้าน จนเกิดการถ่ายทอดและมีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ได้รับความนิยมไปทั่วไม่เฉพาะในเมืองไทย แต่ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ถือเป็นกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

พระเจ้าเสือ  ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้ประกาศขึ้นทะเบียนมวยไทยเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขากีฬาภูมิปัญญาไทย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2553  เพื่อสร้างความตระหนักให้คนไทยเห็นคุณค่า ห่วงแหนและยกย่ององค์ความรู้ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่านี้ ได้รับการอนุรักษ์ สืบสานและต่อยอด เป็นพลังในการกระตุ้นการท่องเที่ยว สร้างสรรค์เศรษฐกิจไทยให้มั่นคง

 6 กุมภาพันธ์ วันสถาปนา “วันมวยไทย”

จากความสำคัญของมวยไทย กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงร่วมมือกับภาคเอกชน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลักดันให้มีการสถาปนา "วันมวยไทย” โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ กำหนดให้วันที่ 6  กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันมวยไทย ซึ่งตรงกับวันเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8  (พระเจ้าเสือ) พระมหากษัตริย์ไทยที่มีพระปรีชาสามารถด้านมวยไทยเป็นที่ประจักษ์

พระเจ้าเสือ เป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ที่เสด็จออกไปชกมวยกับสามัญชน ทรงแต่งกายเป็นชาวบ้าน ให้ทุกคนเข้าใจว่า เป็นนักมวยจากเมืองกรุง ชาวบ้านให้ความสนใจมาก เพราะสมัยนั้น นักมวยกรุงศรีอยุธยามีชื่อเสียงมาก ทำให้ได้คู่ชกเป็นนักมวยฝีมือดีจากเมืองวิเศษไชยชาญ ถึงสามคน ทยอยเข้ามาชกทีละคน ได้แก่ นายกลาง หมัดตาย นายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดด้วยต่างฝ่ายก็มีฝีมือ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและความชำนาญในศิลปะมวยไทย ที่ได้ทรงฝึกหัดและศึกษาจากสำนักมวยหลายสำนัก จึงทำให้พระองค์สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ติดต่อกันถึง ๓ คนได้ โดยที่คู่ต่อสู้ต่างได้รับความบอบช้ำเป็นอันมาก ทำให้ได้รับรางวัลเป็นเงินหนึ่งบาท ฝ่ายผู้แพ้ได้สองสลึง เหตุการณ์นี้จึงเป็นตำนานบทหนึ่งที่ทรงแสดงพระปรีชาสามารถการต่อสู้ด้วยมวยไทย

ไหว้ครูมวยไทย

 ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงนำศิลปะมวยไทยมาใช้ต่อสู้ปกป้องราชอาณาจักรให้รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของชาวต่างชาติ ตามบันทึกว่า พระเจ้าเสือในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่งขุนหลวงสรศักดิ์ เคยใช้ศิลปะมวยไทยไล่ชกคอนสแตนติน ฟอลคอน หรือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ จนฟันหักไปสองซีก ซึ่งฟอลคอน เป็นฝรั่งชาวกรีกที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดปรานถึงขั้นได้เป็นขุนนางที่มีอำนาจมาก กรุงศรีอยุธยา ในสมัยนั้น จะมีกองกำลังทหารที่ทำหน้าที่ถวายอารักขาพระเจ้าแผ่นดิน เรียกว่า "กองทนายเลือก” ผู้ที่ทำงานในกองนี้ได้ ต้องผ่านการคัดเลือกมาจากนักมวยฝีมือดี ทนายเลือก จึงมีบทบาทสำคัญและอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน ดังปรากฏว่า ระหว่างที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงประชวรใกล้สวรรคต มีข่าวว่า เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ คิดก่อการกบฏ ขุนหลวงสรศักดิ์ ได้ใช้ทนายเลือกไปลวงเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เข้ามาในพระราชวัง พอสบโอกาสจึงให้ทนายเลือกสำเร็จโทษตีจนเสียชีวิต

  ไหว้ครูมวยไทย

ไหว้ครูมวยไทย และจากการที่พระเจ้าเสือทรงพระปรีชาสามารถด้านการชกมวย มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ทรงคิดท่าแม่ไม้ กลมวยไทยขึ้นมาเป็นแบบเฉพาะพระองค์ เรียกว่า "มวยไทยตำรับพระเจ้าเสือ” จากที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยรัชการที่ 5 ซึ่งเป็นตำรามวยตำรับพระเจ้าเสือที่เก่าแก่ที่สุด เป็นมรดกทางภูมิปัญญาจากบรรพชนที่ได้รับการถ่ายทอดมาสู่ชนรุ่นหลัง และสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้.

ที่มา: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม