KEY
POINTS
ปตท. เดินเกมปรับพอร์ตทั้งเครือ ผ่านกลยุทธ์ Asset Monetization เสริมความแข็งแกร่งด้านสถานะการเงินและประสิทธิภาพสินทรัพย์ พร้อมต่อยอด ในธุรกิจ Life Science ส่ง Lotus เข้าซื้อกิจการในสหรัฐฯ
หลังจากที่ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง เข้ารับตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา ปตท. ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น รวมทั้งดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง
โดยยังคงมุ่งเน้นธุรกิจหลัก คือ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการจัดตั้ง War Room รับมือกับปัจจัยท้าทายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
รวมถึงเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายในด้วยการบริหารสินทรัพย์และเงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยใน
ปี 2568 ปตท. ประกาศความสำเร็จของการบริหารการเงินที่เป็นเลิศ ดังนี้
1. ดำเนินกลยุทธ์ Asset Monetization (A1) โดยบริหารสินทรัพย์ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่ม ปตท. มอบหมายให้ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) ให้เป็น Infrastructure Flagship จัดตั้งบริษัทย่อย ดำเนินการซื้อและเช่า ท่าเทียบเรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องจาก บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และนำทรัพย์สินดังกล่าวมาบริหารให้เกิดรายได้และผลตอบแทนต่อบริษัทในกลุ่ม
อีกทั้ง PTT Tank มีแผนเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด จาก GC ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 35.43 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ครอบคลุมธุรกิจ บริการรับ จัดเก็บ และขนถ่ายสินค้าเหลว
ทั้งนี้ กลยุทธ์ Asset Monetization ดังกล่าว จะช่วยสร้าง Synergy ในการใช้สินทรัพย์ และสร้างธุรกิจโมเดลใหม่ Energy Infrastructure ของกลุ่ม ปตท. อีกทั้งยังทำให้ฐานะการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 47,000 ล้านบาท
2. ปลดล็อคศักยภาพของธุรกิจ Life Science โดยปรับโครงสร้างการลงทุนของ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (อินโนบิก) (ปตท. ถือหุ้น 100%) ด้วยแผนการลดสัดส่วนการลงทุนใน Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนายาของไต้หวัน ทำให้ Lotus สามารถเข้าซื้อหุ้น Alvogen US ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะทางในสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 658 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังช่วยเพิ่มศักยภาพให้อินโนบิกสามารถขยายการลงทุนในธุรกิจ Life Science ได้ด้วยตนเอง (Self - Funding)
3. การซื้อหุ้นคืนครั้งแรกของ ปตท. (Treasury Stock) เพื่อบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้ถือหุ้นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ปตท. ซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 23 กันยายน 2568 รวมทั้งสิ้นจำนวน 238,660,400 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 0.84 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 7,548,897,300 บาท
4. การจ่ายเงินปันผลอย่างเหมาะสม ตอบสนองความต้องการของนักลงทุน สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุนและการจัดสรรเงินสด Free Cash Flow ระยะยาว โดยปตท. จ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2567 ในอัตรา 2.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลร้อยละ 6.6 และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการ 6 เดือนแรก ปี 2568 ในอัตรา 0.90 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลร้อยละ 7.3 เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่นักลงทุนในอัตราที่เหมาะสมเทียบเคียงกับอุตสาหกรรมเดียวกัน
เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) ที่มีบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีมติอนุมัติการลงทุนเข้าซื้อหุ้นใน Alvogen US ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะทางในสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 658 ล้านดอลลาร์
โดยการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตของ Lotus ที่จะผลักดันบริษัทขึ้นสู่การเป็นหนึ่งใน 20 บริษัทยาเฉพาะทางชั้นนำของโลก ด้วยรายได้และ EBITDA รวมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหลังการดำเนินธุรกรรมสำเร็จ
พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้านการวิจัย พัฒนา การผลิต และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา สนับสนุนการก้าวเข้าไปสู่ธุรกิจยาของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ด้วยการพึ่งพาแหล่งเงินทุนของตนเอง (Self-Funding) ควบคู่กับการสร้างคุณค่าและประโยชน์ระยะยาวให้แก่กลุ่ม ปตท. และสังคมไทย