ในเวทีนโยบาย BY เยาวชน เปลี่ยนทำเนียบเป็นพื้นที่แห่งความหวัง เปิดบ้าน ครม.ร่วมสร้างการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของคนรุ่นใหม่ ที่จัดขึ้นเมื่อ วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
“น้องเอเปค” นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล ตัวแทนนักศึกษาทุน ของ กสศ. หรือ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่กำลังจะเรียนจบปริญญาตรี คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และได้มีโอกาสมายืนพูดข้อเสนอนโยบาย ต่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
เมื่อก่อนเอเปคแทบไม่มีคำว่า “เรียนต่อ” อยู่ในแผนชีวิตเพราะความยากจน
เอเปค ได้เล่าแทนเพื่อน ๆ อีกหลายล้านชีวิตที่เติบโตมาในบ้านที่ขาดแคลน ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโอกาสเรียนพิเศษ หรือแม้แต่โอกาสทางการศึกษา แต่ทุกคนต่างก็มีความฝันเหมือนกัน
น้องเอเปได้พูดเสนอถึงนโยบาย “Learning Passport” หรือ หลักประกันโอกาสทางการศึกษา ที่เปรียบเสมือน “บัตรประชาชนแห่งการเรียนรู้” ทำหน้าที่เป็นสะพานพาเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนฟรีตลอดชีวิต เหมือนกับบัตรทอง 30 บาทที่รักษาทุกคนได้ แต่ในวันนี้ เรายังไม่มี “บัตรแห่งการเรียนรู้” ที่รับประกันว่าเด็กทุกคนจะได้เติบโตเต็มศักยภาพของตน
"แต่ทุกคนเชื่อไหมครับว่า จากเด็กยากจนพิเศษที่จบ ม.3 มีแค่ 13% เท่านั้นที่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย น้องเอเปคเองก็เกือบไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเหมือนกันถ้าไม่มีทุน กสศ. และรู้ดีว่าเพื่อน ๆ อีก 87% ที่เหลือไม่ได้ขาดความสามารถ แต่พวกเขาแค่ขาด "สะพานโอกาส" ที่จะพาพวกเขาข้ามไปสู่ฝั่งของความฝันของตัวเองได้"
ถ้าใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก โอนทุนหรือจัดการเรียนรู้ได้ง่ายเหมือนโอน PromptPay ก็จะช่วยให้เด็กมีทางเลือกการศึกษา ยืดหยุ่นและตรงกับชีวิต เพราะการได้เรียนคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พวกเขาเติบโตเป็นพลเมืองเพื่อส่วนรวม เหมือนเอเปคที่มีควมฝันกว้างขึ้น และตั้งใจกลับไปเป็นนักพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนของตัวเอง
สิ่งที่น้องเอเปคคาดหวังในฐานะตัวเพื่อนๆ หวังว่านโยบายนี้จะกลายเป็น 'สะพานเล็ก ๆ' ที่พาเด็กอีกนับล้านคนก้าวข้ามจากปลายหน้าผาแห่งความฝัน ไปสู่ฝั่งของโอกาส โดยไม่ต้องยืนเดียวดายและกลัวว่าจะร่วงหล่นอีกต่อไปครับ" และผมก็เชื่อเหมือนน้องเอเปคเลยครับว่า เด็กทุกคนควรได้มีสะพานเดินไปสู่ความฝันของตัวเองนะครับ
ที่สำคัญรัฐบาลสามารถทำเรื่องนี้ได้เลย เพราะ กสศ. มีระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ iSEE สามารถชี้เป้าจากฐานข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษ 1.3 ล้านคน และ เด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา 8.8 แสนคน ให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการนี้ได้ทันที
น้องเอเปค ย้ำว่า การได้รับโอกาสทางการศึกษาจาก กสศ. ได้เปลี่ยนชีวิตน้องจากที่เคยคิดจะทำงานรับจ้างไปวันๆ ให้มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น คือการกลับไปเป็นนักพัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชนของตนเองเพื่อต่อยอดวิชาความรู้ของตัวเองให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ข้อมูลจาก กสศ. หรือกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ระบุว่า ในปีการศึกษา 2567 ประเทศไทยมีเด็กวัยเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและการศึกษาภาคบังคับ (อายุ 3–14 ปี) ประมาณ 8.5 ล้านคน ในจำนวนนี้กว่า 3 ล้านคนอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน (3,043 บาทต่อเดือน) โดยจากการคัดกรองด้วยวิธี Proxy Means Test พบว่ามีนักเรียนยากจนพิเศษ (อยู่ในกลุ่ม 15% ครัวเรือนที่ยากจนที่สุด) กว่า 1.3 ล้านคน ซึ่งกระจุกตัวมากที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นราธิวาส และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สถานการณ์นี้สะท้อนความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษาที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ในปี 2563 นักเรียนยากจนพิเศษที่จบ ม.3 จำนวน 165,585 คน มีเพียง 22,345 คน (13.49%) ที่ศึกษาต่อถึงระดับอุดมศึกษาในปี 2567 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของนักเรียนทั้งประเทศ (31%) กว่า 3 เท่า
ขณะเดียวกัน ยังพบว่าในปี 2567 มีเด็กและเยาวชนอายุ 3–18 ปี จำนวนกว่า 9.8 แสนคน ที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษา แม้จะลดลงเหลือ 8.8 แสนคน แต่จำนวนยังถือว่าสูง สาเหตุการหลุดจากระบบมีหลากหลาย ทั้งจากปัจจัยเศรษฐกิจ ความรุนแรงในครอบครัว การหย่าร้าง สุขภาพจิต สภาวะการเรียนรู้ถดถอยหรือบกพร่อง รวมถึงปัญหาในโรงเรียน เช่น การกลั่นแกล้ง (bullying) ปัญหาเหล่านี้ล้วนสะท้อนว่า เด็กและเยาวชนคือภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับหลายมิติของสังคมไทย
ประเทศไทยสามารถยกระดับระบบการศึกษาด้วยการสร้าง “หลักประกันโอกาสทางการศึกษา” สำหรับเด็กและเยาวชนตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงวัยทำงาน โดยใช้การบูรณาการข้อมูลรายบุคคลร่วมกันระหว่าง 11 หน่วยงาน ครอบคลุมเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบางจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยที่สุดกว่า 3 ล้านคน และเด็กนอกระบบการศึกษาราว 8.8 แสนคน
ระบบนี้จะเชื่อมโยงและส่งต่อข้อมูลข้ามกระทรวง เพื่อรวมสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพ สังคม ครอบครัว แรงงาน และการศึกษาไว้อย่างครบวงจร เพื่อให้ทุกคนได้รับการดูแล สนับสนุน และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทันเวลา และตรงจุด
อีกแนวทางหนึ่งคือการยกระดับบัตรประชาชนให้เป็น “Learning Passport” สำหรับเด็กและเยาวชนทุกคน เพื่อใช้ติดตามและส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณหรือทุนสนับสนุนตรงไปยังเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักของเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในครัวเรือนยากจนหรือเปราะบาง
Learning Passport จะช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถเลือกเรียนรู้ตามความถนัดผ่านหน่วยจัดการเรียนรู้ทั้งจากภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชนในรูปแบบที่ยืดหยุ่น และสามารถโอนหน่วยกิตระหว่างระบบการศึกษาเพื่อใช้ต่อยอดในการเรียนหรือการทำงานในอนาคต
การเชื่อมโยงและผูกเลข 13 หลักบัตรประจำตัวประชาชนให้เป็น Learning Passport
สำหรับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากรัฐบาลไปยังเด็กและเยาวชนกลุ่มยากจนด้อยโอกาสโดยตรง ให้สามารถใช้ Credit ดังกล่าวในการเลือกเรียนการศึกษาทางเลือกทุกรูปแบบโดยจัดสรรจากงบประมาณแผ่นดิน ทุนอุดหนุนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนผ่านเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก และ Prompt Pay ของเด็กและเยาวชนทุกคนอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว และโปร่งใส รวมทั้งใช้ในการเก็บข้อมูลเครดิตการเรียนไปใช้ในการสมัครงาน และศึกษาต่อในอนาคต