‘พฤกษา’ รีเซ็ตพอร์ตใหญ่ ถอนลงทุนลดเสี่ยง คืนโฟกัสอสังหาฯ-สุขภาพ

17 ธ.ค. 2568 | 08:00 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2568 | 08:01 น.

พฤกษา โฮลดิ้ง เดินหน้าปรับโครงสร้างพอร์ตครั้งใหญ่ ถอนลงทุนธุรกอจนอกแกนหลัก หันกลับมาโฟกัสอสังหาริมทรัพย์และสุขภาพ วางรากฐานรายได้ยั่งยืนระยะยาว เริ่มเห็นภาพชัดในปี 2569

บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เลือกเดินเกมอย่างระมัดระวัง ด้วยการรีเซ็ตทิศทางธุรกิจและโครงสร้างพอร์ตการลงทุนครั้งสำคัญ เพื่อนำองค์กรกลับไปยืนบนแกนธุรกิจหลักตามความถนัดและสร้างความแข็งแกร่งได้จริงในระยะยาว

นางสาวปัทมา ปิยะมณีพร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม PSH สะท้อนมุมมองว่า ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้กระจายการลงทุนไปในหลายธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อค้นหาโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ แต่เมื่อสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การกลับมาทบทวนพอร์ตจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทรัพยากรและเงินลงทุนถูกใช้ในจุดที่สร้างมูลค่าได้สูงสุด

การตัดสินใจสำคัญ คือ การถอนการลงทุนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศและธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และเฮลธ์แคร์ หนึ่งในดีลสำคัญคือการลดเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund ซึ่งเป็นกองทุนด้านโลจิสติกส์ และขายคืนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ขณะเดียวกันยังมีการทยอยขายสินทรัพย์ขนาดเล็กบางส่วน รวมถึงการลงทุนในกองทุนต่างประเทศและธุรกิจดิจิทัลที่บริษัทไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ เพื่อดึงโฟกัสกลับมาที่แกนหลักขององค์กร

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นรายได้หลักของกลุ่ม นางสาวปัทมาอธิบายว่า พฤกษาเลือกชะลอการซื้อที่ดินใหม่ และหันมาใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในมือให้เต็มศักยภาพ โดยแลนด์แบงก์เดิมที่มีศักยภาพสูงและมีมูลค่ารวมราว 40,000 ล้านบาท จะถูกนำกลับมาพัฒนาเป็นโครงการใหม่ในช่วงปี 2569 เป็นต้นไป แม้รายได้จากการพัฒนาที่ดินเหล่านี้จะยังไม่สะท้อนทันที เนื่องจากต้องใช้เวลาพัฒนา 2-3 ปี แต่เป็นการวางรากฐานที่ช่วยลดความเสี่ยงและควบคุมต้นทุนในระยะยาว

ขณะเดียวกัน พฤกษายังปรับพอร์ตสินค้าให้สอดคล้องกับดีมานด์ที่เปลี่ยนไป จากการเน้นทาวน์เฮาส์ ไปสู่บ้านระดับราคาที่สูงขึ้นในกลุ่มตลาดกลางถึงบน โดยช่วงราคาที่บริษัทมองว่าแข็งแกร่งและถนัด คือ บ้านระดับประมาณ 10 ล้านบาทกลาง ซึ่งยังมีกำลังซื้อจริง และสอดคล้องกับจุดแข็งของพฤกษาที่มีโรงงานพรีคาสต์และทีมก่อสร้างภายใน ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนได้ดี

ในส่วนของคอนโดมิเนียม พฤกษายังเดินหน้าซื้อที่ดินใหม่อย่างเลือกสรร เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีศักยภาพ โดยในปี 2569 บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวมกว่า 10 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมราว 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เล็กลงเมื่อเทียบกับช่วง 5-6 ปีก่อน สะท้อนแนวคิดการเติบโตอย่างระมัดระวังมากกว่าการขยายเชิงปริมาณ

อีกหนึ่งเสาหลักที่พฤกษาวางความหวังไว้ คือ ธุรกิจด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นแหล่งรายได้ประจำในระยะยาว นางสาวปัทมาระบุว่า วิมุตกำลังปรับภาพลักษณ์จากโรงพยาบาลทั่วไปไปสู่การเป็นโรงพยาบาลที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ปัจจุบันมีศูนย์เฉพาะทางด้านปอด หัวใจ และกระดูก และในปี 2569 มีแผนขยายเพิ่มอีกถึง 30 ศูนย์ โดยมุ่งเน้นการดึงแพทย์เฉพาะทางเข้ามา เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพและความชัดเจนด้านบริการ

นอกจากนี้ วิมุตยังขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเมียนมา ควบคู่ไปกับแผนการพัฒนาโรงพยาบาลแห่งใหม่บนที่ดินย่านสุขุมวิท 54 ซึ่งวางแนวคิดเป็นโรงพยาบาลนานาชาติ และอีกแปลงในย่านปิ่นเกล้า อย่างไรก็ดี การลงทุนโรงพยาบาลใหม่จะยังไม่เร่งเดินหน้า จนกว่าผลการดำเนินงานและอัตราการครองเตียงของวิมุต พหลโยธิน จะมีความแข็งแรงและนิ่งเพียงพอ

‘พฤกษา’ รีเซ็ตพอร์ตใหญ่ ถอนลงทุนลดเสี่ยง คืนโฟกัสอสังหาฯ-สุขภาพ

ด้านธุรกิจรายได้ประจำอื่น ๆ PSH ยังคงถือหุ้น 51% ในโครงการโอเมก้าแวร์เฮ้าส์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ CapitaLand และพันธมิตร โดยอาคารแรกมีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาส 2 ปี 2569 และถูกวางให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ประจำในอนาคต ขณะเดียวกัน กองทุนด้านเวลเนส (CEL) ก็ถูกนำมาต่อยอดสู่โครงการที่อยู่อาศัยผสานบริการสุขภาพ เช่น Wellness Residence และโครงการ The Reserve Villa สุขุมวิท 89 บ้านเดี่ยวระดับราคา 50-60 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเปิดตัวต้นปี 2569

พร้อมกันนี้ นางสาวปัทมาย้ำว่าปีถัดไปจะเป็นปีของการบริหารกระแสเงินสดอย่างเข้มข้น PSH พยายามลดภาระหนี้และดอกเบี้ย โดยเฉพาะหนี้ต่างประเทศที่มีต้นทุนสูง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีภาระดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 2.9% และยังถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่มีระดับหนี้ต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม