รู้จักนวัตกรรมคอนกรีตรักษ์โลก ตัวช่วยอสังหาฯ มุ่งหน้า Net Zero

01 ธ.ค. 2568 | 09:55 น.

แอล ดับเบิลยู เอสฯ แนะนำภาคอสังหาริมทรัพย์เร่งเปลี่ยนมาใช้คอนกรีตคาร์บอนต่ำเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ระบุเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2608 ตามทิศทาง Thailand Taxonomy

KEY

POINTS

  • ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง การใช้นวัตกรรมคอนกรีตรักษ์โลกจึงเป็นกลไกสำคัญในการลดคาร์บอนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
  • มีการพัฒนาคอนกรีตคาร์บอนต่ำและไร้ซีเมนต์ (Low-Carbon/Free-Carbon Concrete) ที่ใช้วัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมแทนปูนซีเมนต์ ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 50-80%
  • นวัตกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจคือคอนกรีตกักเก็บคาร์บอน (Carbon Memorization) ที่ช่วยดูดซับ CO2 และคอนกรีตฟอกอากาศ (Photocatalytic) ที่ช่วยสลายมลพิษ โดยบางเทคโนโลยีเริ่มมีการใช้งานจริงแล้วในไทย

ภาคอสังหาริมทรัพย์ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุดของประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานระบุว่า ภาคอาคารและอสังหาฯ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 39% ของทั้งระบบ ส่งผลให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเร่งทบทวนกระบวนการก่อสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของไทยในระยะยาว

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด กล่าวว่า การเลือกใช้คอนกรีตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถือเป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมก่อสร้างไปสู่มาตรฐานอสังหาริมทรัพย์สีเขียว พร้อมช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากปูนซีเมนต์เป็นแหล่งปล่อย CO2 รายใหญ่ของโลก คิดเป็น 7-8% ของการปล่อยทั้งหมด และในประเทศไทย การปล่อยจากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์อยู่ที่กว่า 21 ล้านตันต่อปี จึงจำเป็นต้องเร่งลดการพึ่งพาปูนซีเมนต์แบบดั้งเดิมในงานโครงสร้าง

ทั้งนี้อุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วโลกกำลังพัฒนานวัตกรรมคอนกรีตรูปแบบใหม่เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ Low-Carbon Concrete และ Free-Carbon Concrete ซึ่งแทนที่ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ด้วยวัสดุเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรม เช่น เถ้าลอย ตะกรัน หรือผงซิลิก้า

เมื่อกระตุ้นด้วยสารด่างจะเกิดเจลยึดเหนี่ยวที่มีความแข็งแรงเทียบเท่าคอนกรีตทั่วไป แต่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้สูงถึง 50-80% ขึ้นอยู่กับสัดส่วนวัสดุที่ใช้ ประเทศไทยเองมีโครงการวิจัยร่วมระหว่างกลุ่มปูนซีเมนต์ไทย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และพันธมิตรญี่ปุ่น ที่ประสบผลสำเร็จในการผลิตคอนกรีตต้นแบบไร้ซีเมนต์ซึ่งลด CO2 ได้กว่า 50% ในการใช้งานจริงบนไซต์ก่อสร้าง

อีกหนึ่งนวัตกรรมคือ Carbon Memorization Concrete หรือคอนกรีตแบบกักเก็บคาร์บอน ที่ใช้กระบวนการดักจับ CO2 จากโรงงานไฟฟ้าหรือเตาเผาปูนซีเมนต์แล้วผสมลงในคอนกรีตสด ทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพเป็นแคลเซียมคาร์บอเนตที่ฝังอยู่ถาวรในเนื้อคอนกรีต ช่วยเพิ่มความแข็งแรงขึ้นอีก 10-15% ขณะเดียวกันลดการใช้ปูนซีเมนต์ลง 4-6% ผู้ผลิตในไทย เช่น บริษัทพฤกษา โฮลดิ้ง และ Inno Precast ได้เริ่มนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงกับผลิตภัณฑ์พรีคาสต์หลายชนิด และสามารถลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 4,000 ตันต่อปี ถือเป็นความก้าวหน้าในระดับอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา Photocatalytic Concrete ซึ่งผสมสารไทเทเนียมไดออกไซด์ ทำให้คอนกรีตมีคุณสมบัติช่วยสลายมลพิษทางอากาศ เมื่อโดนแสงแดดจะเกิดปฏิกิริยาที่ลดไนโตรเจนออกไซด์ ฝุ่น PM รวมถึงสารอินทรีย์ระเหย แม้ในไทยยังไม่ถูกใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่สถาบันวิศวกรรมหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เริ่มทดสอบประสิทธิภาพในงานผิวถนนและทางเท้า ซึ่งเหมาะกับเมืองใหญ่ที่เผชิญปัญหาฝุ่นเป็นประจำ

นายประพันธ์ศักดิ์มองว่า นวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงตอบโจทย์การลดคาร์บอนในงานก่อสร้าง แต่ยังสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ Thailand Taxonomy ที่กำหนดให้ภาคธุรกิจต้องก้าวสู่กิจกรรมที่ยั่งยืนมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเงินทุนสีเขียวและการลงทุนด้าน ESG ซึ่งกำลังเป็นมาตรฐานใหม่ของภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก

“การพัฒนาคอนกรีตคาร์บอนต่ำไม่ใช่เพียงการปรับตัว แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่คุ้มค่า ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของสังคมไทย” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว