เอกชน ตัดพ้อ รัฐบาลอนุทิน ไม่หนุนข้อเสนอ 6+1 ลุ้นรัฐบาลหน้าพยุงอสังหาฯ

11 พ.ย. 2568 | 11:35 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ย. 2568 | 11:52 น.

เอกชน ตัดพ้อ รัฐบาล อนุทิน ไม่หนุนข้อเสนอมาตรการ 6+1 พยุงภาคอสังหาฯ เสาหลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ รอความหวังรัฐบาลหน้าหลังเลือกตั้ง

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนแสดงความผิดหวังที่รัฐบาลยังไม่ตอบรับข้อเสนอมาตรการ 6+1 เพื่อช่วยเหลือและกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังซบเซา
  • ข้อเสนอหลักประกอบด้วยการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา, การจัดให้มีมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ และการผลักดันให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
  • ผู้ประกอบการชี้ว่ามาตรการเดิมของรัฐบาลไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ ขณะที่นโยบายแก้หนี้ปัจจุบันก็ไม่ครอบคลุมหนี้ที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัญหาใหญ่

นโยบายแก้หนี้ของรัฐบาล“อนุทิน ชาญวีรกูล”โครงการ“ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ซึ่งเป็นมาตรการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยมีแนวทางให้ AMC รับซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) วงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย  และเตรียม คณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาในไม่ช้านี้

จากการตรวจสอบพบว่าเป็นการแก้หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ดังนั้น ภาระหนี้จากที่อยู่อาศัยจึงไม่อยู่ในข่าย ท่ามกลางผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ คนซื้อบ้านจำนวนไม่น้อยผิดนัดชำระหนี้หรือเสี่ยงเกิดปัญหา NPL ตามมา ขณะดีเวลลอปเปอร์มองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ

 โดยเฉพาะมาตรการรัฐเพิ่มเติมที่พยุงให้ธุรกิจเดินต่อได้ เนื่องจากกำลังซื้อหดตัวขณะสต๊อกที่อยู่อาศัยสูงขึ้นสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ แม้ว่ามีมาตรการลดค่าโอน จดจำนอง ราคาไม่เกิน 7ล้านบาท และการผ่อนปรนLTV กู้ได้100% แต่ดูเหมือนช่วยได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับความรุนแรงของวิกฤตเศรษฐกิจ  

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ภาคเอกชนเสนอมาตราการเพิ่มเติม  6 +1 เพื่อต่อรัฐบาลอนุทิน 

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา แต่ มองว่ายังไม่ได้รับการสนับสนุน ทางออกภาคเอกชนต่างช่วยเหลือตนเองโดยจัดมหกรรมบ้านและคอนโด อัดแคมเปญลดแลกแจกแถมทำให้ มียอดจองกว่า1.3หมื่นล้านบาทแต่จะผ่านการอนุมัติสินเชื่อว่าจะผ่านมากน้อยแค่ไหน

 อย่างไรก็ตามสมาคมจะเสนอมาตรการ อีกครั้งในรัฐบาลหน้า  ได้แก่ 1.ลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา โดยกำหนดวงเงินไม่เกิน 7 ล้านบาทแรก และส่วนเกิน 7 ล้านบาทให้เก็บตามอัตราปกติ โดยขยายเวลาจนถึง 30 มิถุนายน 2569 จากเดิมคาดว่าจะให้ถึงสิ้นปี

2. จัดให้มีมาตรการการค้ำประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือมอร์ทเกจ การันตี ด้วยการขยายบทบาทของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) โดยอาจทำการค้ำประกันสินเชื่อบางส่วน เช่น 20% ของสินเชื่อ สำหรับผู้กู้ที่ผู้ซื้ออสังหาฯนำไปสร้างรายได้ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และผู้ที่ไม่ได้รับการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

3. จัดให้มีนโยบายการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามระดับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk-Based Pricing) ให้กับสถาบันการเงินในการกำหนดอัตราดอกบี้ยแตกต่างต่างได้ตามความเสี่ยงของผู้กู้ เพื่อให้ทุกกลุ่มเข้าถึงสินเชื่อ

4. ขอให้รัฐบาลพิจารณาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 50% เป็นเวลา 1–2 ปี เพื่อบรรเทาภาระการจำนองทรัพย์สินและกระตุ้นการลงทุนให้กับผู้ประกอบการและกระตุ้นการถือครองที่อยู่อาศัย

5. จัดให้มีนโยบายการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบด้วยแนวทาง Warehouse Debt เนื่องจากรัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้นอกระบบหรือหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ที่ฉุดรั้งความสามารถในการใช้จ่ายเงินและการชำระหนี้ของประชาชน โดยใช้วงเงินบ้านที่ชำระแล้วบางส่วนรีไฟแนนซ์หนี้นอกระบบและหนี้ดอกเบี้ยสูง ซึ่งจะช่วยบรรเทาและคลี่คลายปัญหาทางการเงิน ของลูกหนี้และกำลังซื้อในประเทศ

และ6. ผลักดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.5% จากอัตราปัจจุบัน 1.5% เหลือ 1% โดยเร็วและเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยของประชาชนและภาคธุรกิจ รวมถึงกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในภาคอสังหาฯ แม้ว่าที่ประชุมกนง.วันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมามีมติคงอัตราดอกเบี้ย

แต่คาดหวังว่ากนง.ในการประชุมเดือนธันวาคมจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง อย่างน้อย 0.25%ต่อปี ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีความสำคัญ สะท้อนจากครั้งก่อนหน้าที่มีการปรับลดลง 0.25% ทำให้แบงก์มีการแข่งขันปล่อยสินเชื่อกันมากขึ้นสำหรับลูกค้าระดับบนและลูกค้าที่มีเครดิตดีๆ แต่ระดับต่ำกลาง-ล่าง แบงก์ยังคงเข้มงวด นอกจากนี้ดอกเบี้ยที่ลดลงยังส่งผลต่อตลาดหุ้นกู้อสังหาฯฟื้นตัว

และเสนอเพิ่มอีก1มาตรการ เพิ่มเติมเป็นข้อที่7คือ ขยายสิทธิการเช่าที่ดินให้กับต่างชาติพร้อมเก็บภาษีทุกช่องทางเพื่อนำรายได้มาสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยสำหรับคนไทยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง

“คาดหวังว่ารัฐบาลจะมีการพิจารณาข้อเสนอของภาคอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีมูลค่าตลาดปีละ 8 แสนล้านถึง 1 ล้านล้านบาท และมีผลต่อจีดีพี 8-12% ไม่แพ้ภาคการท่องเที่ยวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ“นายประเสริฐกล่าว