KEY
POINTS
สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนสูง อุปทานล้น ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะไตรมาสที่4 การแข่งขันรุนแรงและนำไปสู่ “สงครามราคา” ขณะที่หลายค่ายต่างปรับตัว มองหาลูกเล่นใหม่ๆ ชิงกำลังซื้อในตลาด
เช่นเดียวกับ “SC Asset” บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย มีกลยุทธ์รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เน้นความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ รักษาสภาพคล่องให้เกิดความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นจุดแข็ง ที่ทำให้ฝ่าพายุใหญ่ทางเศรษฐกิจไปได้
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงภาพรวมเศรษฐกิจ และสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไตรมาสที่ 4 ว่า ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งไม่แตกต่างจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาที่ผู้ประกอบการต่างรับมือ
3แกนหลักรับมือ
โดยกลยุทธ์รับมือความไม่ชัดเจนทางเศรษฐกิจ มี 3 แกนหลัก “ประการแรก” เริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่น ปัจจัยภายนอกอาจไม่ชัดเจนรวมถึงในประเทศ แต่ผู้ประกอบการยังสามารถควบคุมความจริงใจและแบรนด์ของตนเองได้ สิ่งสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นว่าแบรนด์นั้น “ทำจริง พูดจริง และทำได้จริง ๆ”
“ประการที่สอง” การบริหารสภาพคล่อง โดยในช่วงเวลาที่สถานการณ์ไม่แน่นอน สภาพคล่อง เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้ประกอบการทุกรายจึงต้องมั่นใจว่าตนเองมี “กันชน” ที่ดีและมีสภาพคล่องที่ดีอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งในการรับมือกับความเสี่ยง
“ประการที่สาม” การสร้างความหลากหลายทางธุรกิจ เนื่องจากสถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง การกลับมาพิจารณาธุรกิจตนเองให้มีความหลากหลายจึงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น ซึ่งความหลากหลายนี้จะช่วยป้องกันความไม่ชัดเจน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
อุปสรรคกดดันตลาด
โดยอุปสรรคหลัก ๆ ที่กดดันตลาดมี 3 ประเด็นสำคัญ
1.ความไม่ชัดเจนและความไม่ต่อเนื่องทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคมีการ ชะลอการตัดสินใจซื้อ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนหลาย ๆ เรื่อง ความไม่ชัดเจนดังกล่าวเกิดขึ้นในวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ต้องถูกชะลอออกไป
2. ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง อุปสรรคที่ทำให้คนซื้อของชิ้นใหญ่ยาก และส่งผลให้ผู้บริโภคกู้สินเชื่อได้ยาก ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรง
3. อุปทานส่วนเกินในตลาด และสงครามราคา แม้จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับโครงสร้างตลาด แต่ปัญหา ซัพพลาย ที่ค่อนข้างสูงในตลาด เมื่อรวมกับภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจและกู้ยาก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดสงครามราคา พอสมควร เนื่องจากผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันระบายสินค้าคงคลังในภาวะที่ความต้องการซื้ออ่อนตัว ประเมินว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ยังคงอยู่ในภาวะที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภค ชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้านั้น มาจากความไม่ชัดเจนและความไม่ต่อเนื่องของสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง นอกจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความไม่ชัดเจนแล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กดดันและส่งผลให้การซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ทำได้ยากขึ้น คือหนี้ครัวเรือนสูง การขอกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงินยากมากขึ้น ส่งผลให้การซื้อของชิ้นใหญ่อย่างที่อยู่อาศัยยากตามไปด้วย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาสที่ 4 ดังนั้นผู้ประกอบการควรกลับมาพิจารณาและตรวจสอบธุรกิจของตนเองให้มีความหลากหลาย”
กลยุทธ์ “3B” ฝ่าวิกฤต
อย่างไรก็ตาม SC Asset ปรับโครงสร้างธุรกิจมุ่งสู่การเติบโตแบบมีเสถียรภาพในระยะยาว ภายใต้กลยุทธ์ “3B” (Believe, Buffer, Blend) เสริมความแข็งแกร่งทุกมิติ พร้อมกระจายพอร์ตสร้างกำไร เติบโต และเพื่ออนาคต
นายณัฐพงศ์ สะท้อนว่า SC Asset ยึดมั่นในกลยุทธ์ 3B เพื่อรับมือกับภูเขานํ้าแข็งแห่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่สุดท้ายแล้วจะเป็นบทพิสูจน์ให้กับบริษัทที่เป็น “ตัวจริง” ในภาวะวิกฤต โดยเน้นยํ้าถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุมมิติสำคัญดังนี้
“Believe” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และสร้างแบรนด์ SC Asset ให้เป็นที่น่าเชื่อถือในด้านคุณภาพ บริการ และความใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความผูกพันกับลูกค้าในยามที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
“Buffer” การรักษาฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องสูง และมีหนี้ในระดับตํ่า เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน บริษัทกระจายแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ทั้งจากสถาบันการเงิน พันธมิตรการลงทุน และการออกหุ้นกู้ โดยในปี 2568 ได้ออกหุ้นกู้มูลค่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุน นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น อาทิ โตเกียว ทาเทโมโนะ, ไดวะ เฮ้าส์ กรุ๊ป และนิชิเทตสึ ใน 10 โครงการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน
“Blend” การผสมผสานพอร์ตธุรกิจให้หลากหลายเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อกระจายความเสี่ยง และรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลกและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ขับเคลื่อน 3 เครื่องยนต์ธุรกิจหลัก
ขณะเดียวกัน ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน 3 เครื่องยนต์ธุรกิจหลัก ดังนี้ “Engine for Profit” เน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อสร้างกำไรสมํ่าเสมอ โดยปัจจุบันตั้งเป้าสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจนี้อยู่ที่ 85% ในครึ่งปีแรกของปี 2568 โดยกลุ่มสินค้าที่ยังเป็นแกนหลักคือกลุ่มบ้านหรูราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งทำให้ยอดขายโครงการแนวราบของ SC Asset เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 118% ในไตรมาสที่สอง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ บริษัทจะขับเคลื่อนให้สัดส่วนกำไรเป็น 75% ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยผลักดันสัดส่วนกำไรของธุรกิจรายได้ประจำมากขึ้น
“Engine for Growth” พอร์ตธุรกิจสร้างรายได้ประจำ ซึ่งสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจนี้อยู่ที่ 15% ในปีนี้ และจะขับเคลื่อนให้เพิ่มเป็น 25% ภายใน 5 ปี ตัวอย่างธุรกิจนี้ ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้า ที่ปัจจุบัน SC Asset มีพื้นที่ 100,000 ตร.ม. ซึ่งปล่อยเช่าเต็ม 100% และตั้งเป้าจะขยายเป็น 200,000 ตร.ม. ภายในต้นปี 2569 โดยมีแผนขยายเพิ่มราวปีละ 50,000-100,000 ตร.ม. และธุรกิจโรงแรม KROMO CURIO COLLECTION by Hilton เปิดให้บริการในเดือนตุลาคม และ The Standard Pattaya Na Jomtien ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
“Engine for Future” การลงทุนในธุรกิจอนาคต ตามเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด ซึ่งขณะนี้บริษัทยังอยู่ในช่วงศึกษาแผนที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยในอนาคตภายใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะแบ่งสัดส่วน Engine 1 ที่ 70%, Engine 2 ที่ 25% และ Engine 3 ที่ 5%
นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส4 ยังคงมีการแข่งขันสูง แต่ก็มีความหวังจากนโยบายภาครัฐที่เป็นช่วงออกผลชัดเจนยิ่งขึ้น และจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย และความคืบหน้าของนโยบายสิทธิการเช่าทรัพย์อิงสิทธิ 99 ปี ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคต
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,145 วันที่ 2 -5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568