เปิดแนวทางรับมือแผ่นดินทรุด ลดเสี่ยงกระทบอาคาร–ชุมชน

27 ก.ย. 2568 | 10:05 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.ย. 2568 | 10:05 น.

แผ่นดินทรุดกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่อาคารและชุมชนเมืองต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะโครงการใกล้น้ำและไซต์ก่อสร้างขนาดใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญแนะเพิ่มความถี่ตรวจสอบเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบ

ปรากฏการณ์ดินทรุดไม่ใช่เพียงปัญหาทางธรรมชาติ แต่เป็นความท้าทายด้านความปลอดภัยที่เชื่อมโยงโดยตรงกับคุณภาพชีวิตและมูลค่าทรัพย์สินในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ดินอ่อนและมีการก่อสร้างหนาแน่นอย่างต่อเนื่อง หากขาดการเฝ้าระวังที่ดีเพียงพอ อาจส่งผลเสียทั้งต่ออาคาร ระบบสาธารณูปโภค และผู้ใช้งานอาคาร

ภคิน เอกอธิคม

นายภคิน เอกอธิคม ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคาร บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มอาคารที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ และพื้นที่ที่มีการก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยทีมบริหารอาคารมักใช้การตรวจสอบเบื้องต้นด้วยสายตา (Visual Check) เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น รอยแตกร้าว ระดับพื้นผิวที่เปลี่ยนไปในบริเวณทางเดิน ถนน สนามหญ้า หรือกำแพงรั้ว ซึ่งหากพบอาการผิดปกติจำเป็นต้องให้วิศวกรโยธาเข้ามาประเมินความเสียหายเชิงลึกและกำหนดแนวทางแก้ไข

อีกทั้ง ย้ำว่าผลกระทบจากการทรุดตัวไม่เพียงสร้างความเสี่ยงต่อการใช้งานอาคาร แต่ยังส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้สัญจร รวมถึงระบบสาธารณูปโภค เช่น สายไฟ ท่อน้ำ หรือระบบสื่อสารที่มักติดตั้งในพื้นที่รอบอาคาร หากพื้นดินยุบตัวอาจทำให้โครงสร้างเหล่านี้เสียหายและรบกวนการใช้งานได้ทันที

แม้ตัวอาคารหลักมักถูกออกแบบด้วยเสาเข็มรองรับน้ำหนัก แต่พื้นที่โดยรอบ เช่น ถนนและทางเท้า มักวางบนพื้นดินบดอัด (Slab on Ground) ซึ่งมีความเสี่ยงทรุดตัวมากกว่า ยิ่งในกรณีที่อยู่ติดกับไซต์งานขุดดินลึกหรือริมแหล่งน้ำ หากระบบป้องกันการพังทลายของดินไม่รัดกุม อาจเกิดโพรงและสร้างความเสียหายลุกลามไปถึงโครงสร้างอาคารได้

แนวทางรับมือที่แนะนำคือ การเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบอาคารที่อยู่ใกล้พื้นที่เสี่ยง และรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างเมื่อพบความผิดปกติ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ขณะเดียวกัน ควรเปิดการหารือกับโครงการก่อสร้างใกล้เคียง เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันร่วมกันทั้งเรื่องความปลอดภัย โครงสร้าง และผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นและเสียง

นายภคินระบุเพิ่มเติมว่า แม้ดินทรุดจะไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การบูรณาการทั้งงานตรวจสอบทางเทคนิคและระบบบริหารจัดการความเสี่ยง จะช่วยลดความรุนแรงของปัญหาได้ พร้อมสร้างความมั่นใจแก่ผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคารว่า สถานที่ที่พวกเขาใช้ชีวิตและทำงานยังคงปลอดภัย

ทั้งนี้ การบริหารจัดการอาคารในปัจจุบันจึงไม่ได้หยุดอยู่ที่การดูแลภายในเพียงอย่างเดียว แต่ต้องขยายการมองไปยังปัจจัยภายนอก ทั้งสภาพแวดล้อม การก่อสร้างโดยรอบ และการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้ดินทรุดกลายเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อเมืองและอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว