โลกปั่นป่วนจาก “ภาษีทรัมป์” หรือนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา หลังได้รับการยืนยันอัตราอยู่ที่ 36% แม้รัฐบาลให้ความมั่นใจว่าการเจรจาเป็นบวกในรอบถัดไปก่อนถึงเส้นตาย ท่ามกลางข้อกังวลของภาคธุรกิจทุกแขนง ประเทศเจอมรสุมร้ายหลายปัจจัย เครื่องยนต์เศรษฐกิจ ทั้งส่งออกและท่องเที่ยวหมดเรี่ยวแรง
ภาคอสังหาริมทรัพย์ หนึ่งในธุรกิจ ที่ถูกซํ้าเติม เพราะหากภาคผลิต ส่งออก ตลาดทุน ทรุดตัวย่อม ทำให้กลุ่มนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อชะลอการตัดสินใจ ซึ่งเดิมทีกลุ่มเปราะบางฐานใหญ่หายไปจากตลาด มีผลต่อตลาดที่อยู่อาศัย สต๊อกล้นมือ ท่ามกลางสงครามราคาชนิดที่บางค่าย แบกไม่ไหว ยอมตัดใจขายแบบขาดทุน จากดอกเบี้ยวิ่งเร็ว ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ต้องแบก
ซํ้าร้ายเมื่อเศรษฐกิจหดตัวสถาบันการเงิน เพิ่มความเข้มงวด หลังจากหลายโครงการ ถูกปฏิเสธสินเชื่อถึงกว่า 80% โดยเฉพาะตลาดราคาตํ่า 3 ล้านบาทลงมายังลุกลามไปยังตลาดกลาง-บน และวนนำสินค้ากลับมาขายใหม่ ซึ่งน่าเห็นใจผู้ประกอบการที่ต้องมีภาระต้นทุนเพิ่มตามมา ขณะที่ทางออกดูริบหรี่ มาตรการรัฐมองว่าดีแต่มาช้าในช่วงจังหวะชีพจรอ่อนแรง
อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหา ริมทรัพย์ยังมีความหวังจากรัฐบาล ว่าจะมีมาตรการมาช่วยพยุง ทั้งการแก้กฎหมายอาคารชุด กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ให้ขยายการถือครองเพิ่มขึ้น เพื่อขยายน่านนํ้าให้ต่างชาตินำเงินเข้าประเทศ รวมถึงการลดขนาดแปลงที่ดินของบ้านจัดสรร เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภคอยู่อาศัยใกล้เมือง แต่เมื่อดูแล้วน่าจะยากยิ่ง เพราะ ความร้อนระอุของสงครามการเมือง ซึ่งอาจมีผลต่อความสั่นคลอนของรัฐบาลที่เสียงปริ่มนํ้า
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรุมเร้ารอบทิศทาง ทั้ง สงครามทางการค้า สงครามการสู้รบทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามตะวันออกกลาง พายเศรษฐกิจถาโถม ค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาท หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง ประชาชนชักหน้าไม่ถึงหลัง สมรภูมิเดือดทางการเมือง รัฐบาลมีความเปราะบาง และที่มองข้ามไม่ได้ สงครามข้างบ้านอย่างกัมพูชา ที่กำลังเขม็งเกลียว
ห้ามกระพริบตาเด็ดขาด ภาษีทรัมป์ 36% มองว่าหนักหน่วง หากการเจรจารอบใหม่ไม่สำเร็จ จะกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรงเพราะเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว การลงทุน ชะงัก ส่งออกติดลบ ตลาดหุ้นอ่อนไหว มีผลให้กำลังซื้อกลุ่มแข็งแรงหายไปจากตลาดหรือเก็บเงินไว้ไม่นำออกมา
แน่นอนว่าจะกระทบทั้งระบบอย่างเลี่ยงไม่ได้และลุกลามไปยังปี2569 ที่ประเมินว่า ผลของภาษีทรัมป์จะออกฤทธิ์เต็มที่ รวมถึงกว่าจะเลือกตั้งใหม่ จัดตั้งรัฐบาลได้ คาดว่าประมาณกลางปีหน้า ดังนั้น จึงมองข้ามสถานการณ์ตลาดอสังหา ริมทรัพย์ ไปปี2570 ซึ่งหวังว่า เมื่อถึงช่วงนั้นทุกอย่างอาจคลี่คลาย ยกเว้นจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายพรนริศกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องสต๊อกรอระบายทั้งรายใหญ่รายเล็กในพื้นที่ ทั่วประเทศมีมากถึง1ล้านหน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 2-3 ล้านบาท ประเมินมูลค่าที่ 3 ล้านล้านบาท เหลือขายสะสมมานานไม่ตํ่า 10 ปี และเริ่มมีความเสื่อม ในขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มแบกรับไม่ไหวติดปัญหาสถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อ กำลังซื้อไม่มี การเงินตึงตัว แม้ที่ผ่านมาแทบทุกค่ายจะมีทางออกด้วยการนำโครงการออกปล่อยเช่า และนำค่าเช่าแปลงเป็นเงินดาวน์ ผ่อนต่อกับสถาบันการเงิน แต่ปรากฏว่ามีปัญหาผู้เช่าทยอยออกไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า หรือตกงานซึ่งล้วนซํ้าเติมตลาดอสังหา ริมทรัพย์อย่างมาก ที่จะเห็นชัดเจนในปีหน้าคือหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ และการหมุนเงินนำมาต่อลมหายใจ อีกระเบิดเวลาที่น่าจับตายิ่ง
ในมุมของนายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรมองว่า สมาคมฯ หวังว่า การเจรจาภาษีสหรัฐฯ โดยรัฐบาลไทย จะสามารถต่อรองกับสหรัฐฯได้ ซึ่งน่าจะได้ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งทางการค้าในประเทศแถบอาเซียน อาทิเวียดนามฯลฯ อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาดอสังหา ริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง อยู่ระหว่างประเมินมาตรการรัฐว่าได้ผลหรือไม่แต่หากไม่เพียงพอ สมาคมฯมีแผนเสนอเพิ่มเติมต่อไป
ด้านนางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกกิติมศักดิ์ สมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า จากปัจจับลบรอบด้าน ความเปราะบางของรัฐบาลอีกทั้งปัจจับลบภายนอก อย่างภาษีทรัมป์ มีผลกระทบเศรษฐกิจและกำลังซื้อค่อนข้างมาก แม้จะมี มาตรการลดค่าโอนและจดจำนองรวมถึงผ่อนผัน LTV (Loan to Value) มองว่าช่วยได้ไม่มากนักเพราะ ปัญหาใหญ่คือสถานบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,113 วันที่ 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568