เสียงเตือนภัยจากแรงสั่นสะเทือนที่ผ่านมาช่วงต้นปีสร้างผลกระทบให้กับในหลายจังหวัดของไทยเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ผู้คนในเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่ต่างรับรู้ได้ถึงแรงไหวที่แม้ไม่ถึงขั้นทำลายล้าง แต่ก็เพียงพอที่จะจุดประกายคำถามสำคัญว่า “บ้านที่เราอยู่ปลอดภัยพอหรือยัง?”
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่วัดแรงได้กว่า 7.7 แมกนิจูด จากศูนย์กลางในประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ในภูมิภาคใกล้เคียงและส่งผลรับรู้ได้ถึงกรุงเทพมหานคร ทำให้ไม่เพียงแต่ประชาชนทั่วไปเกิดความกังวล แต่ยังปลุกให้แวดวงอสังหาริมทรัพย์และภาควิศวกรรมไทยตื่นตัวกับการทบทวนมาตรฐานความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยอีกครั้งหนึ่ง
ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แม้ประเทศไทยจะไม่ได้อยู่บนรอยเลื่อนหลักของโลก แต่แรงสะเทือนจากประเทศเพื่อนบ้านสามารถส่งผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะกับอาคารสูงในพื้นที่ชั้นดินอ่อน เช่น กรุงเทพมหานคร หรือเชียงใหม่
“เราต้องไม่มองว่าแผ่นดินไหวเป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือการออกแบบบ้านและอาคารให้รองรับแรงแผ่นดินไหวได้จริง ไม่ใช่แค่ในทฤษฎี”
การออกแบบอาคารยุคใหม่จึงต้องคำนึงถึงทั้งความแข็งแรงของโครงสร้าง การรับแรงเฉือน จุดต่อระหว่างวัสดุ และมาตรฐานกฎหมายที่อัปเดต อย่างเช่น กฎกระทรวงกำหนดการรับนํ้าหนักฯ ในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2564 ซึ่งได้ขยายพื้นที่ควบคุมจากเดิม 22 จังหวัด เป็น 43 จังหวัดทั่วประเทศ
โดยครอบคลุมจังหวัดที่มีรอยเลื่อนมีพลังหรือมีประวัติการเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงจังหวัดที่มีดินอ่อนและมีความเสี่ยงสูงต่อการขยายแรงสั่นสะเทือน อาทิ กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, เชียงราย, กาญจนบุรี, และภูเก็ต กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้การออกแบบอาคารบางประเภท เช่น อาคารสูง อาคารสาธารณะ และอาคารขนาดใหญ่ จะต้องคำนวณและออกแบบให้สามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหวได้อย่างเพียงพอ
หนึ่งในแนวทางการก่อสร้างที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในวงเสวนาล่าสุด โดย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด คือเทคโนโลยี “พรีคาสท์” หรือผนังคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป ซึ่งผ่านการทดสอบร่วมกับ AIT ว่าสามารถรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด ระบุว่า ระบบพรีคาสท์ของอินโนฯ ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติจากเยอรมนีในการควบคุมคุณภาพ พร้อมพัฒนาเพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยี CarbonCure เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในการผลิต โดยไม่ลดทอนความแข็งแรงของวัสดุ พร้อมได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ระดับสากล ถือเป็นมาตรฐานใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยและความยั่งยืน
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าพรีคาสท์ที่ใช้ในโครงการของพฤกษาฯ เช่น โครงการพาทิโอ กรุงเทพกรีฑา-วงแหวน มีความแข็งแรงกว่าการก่ออิฐมอญทั่วไปถึง 3 เท่า สามารถกันไฟได้นานถึง 2 ชั่วโมง และมีคุณสมบัติในการเก็บเสียงได้ดีขึ้น 33% ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดในโรงงานด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติจากเยอรมนี ทำให้แต่ละชิ้นส่วนมีมาตรฐานเดียวกัน
นายพิเชษฐ วิจิตรชำนาญ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจ 2 บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา บริษัทได้ส่งทีมวิศวกรลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการและให้คำปรึกษาแก่ลูกบ้านในเชิงรุกทันที พบว่าบ้านแนวราบไม่ได้รับผลกระทบด้านโครงสร้าง แต่ประชาชนเริ่มแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในอาคารสูง
“เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ลูกค้าเริ่มถามถึงระบบโครงสร้างของบ้านก่อนตัดสินใจซื้อ ทั้งที่ในอดีตคนมักดูแค่ฟังก์ชันหรือดีไซน์ การที่เราพัฒนาโครงการด้วยระบบพรีคาสท์อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้สามารถตอบโจทย์ความเชื่อมั่นนี้ได้ทันที”
จากแรงสั่นสะเทือนสู่แรงขับเคลื่อนมาตรฐานใหม่ของตลาดในอดีต คนไทยจำนวนมากอาจไม่คุ้นชินกับการตัดสินใจซื้อบ้านจากมุมมองเรื่องความปลอดภัยต่อแผ่นดินไหว แต่วันนี้ความคาดหวังของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไป ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าความสนใจต่อระบบที่สามารถตรวจจับแรงสั่นไหว เช่น เซนเซอร์ความเคลื่อนไหว และวัสดุโครงสร้างที่มีผลทดสอบชัดเจน จะกลายเป็น “เงื่อนไขบังคับ” ในการตัดสินใจซื้อบ้านในอนาคต
“ในต่างประเทศ อาคารจะมีระบบวัดแรงสั่นและแจ้งเตือนหากเกิดความเสียหายจากแผ่นดินไหว ในไทยยังไม่แพร่หลาย แต่เรามองว่านี่คือมาตรฐานใหม่ที่อุตสาห กรรมควรปรับตัวรับมือ” ศ.ดร.อมร กล่าว
ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มขยับตัว โดยบริษัทชั้นนำหลายแห่งเริ่มนำระบบก่อสร้างทันสมัยที่ออกแบบรับแรงแผ่นดินไหวมาใช้ พร้อมตั้งคำถามกลับไปยังหน่วยงานรัฐว่า กฎหมายด้านอาคารควรเข้มงวดขึ้นหรือไม่ ขณะที่กฎกระทรวงโยธาธิการฉบับล่าสุดแม้จะครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น แต่การบังคับใช้ยังต้องอาศัยการร่วมมือจากภาคเอกชนและท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม แม้ภัยพิบัติจะไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่ชัด แต่บทเรียนจากแผ่นดินไหวที่ผ่านมาได้ตอกยํ้าว่า “การป้องกัน ย่อมดีกว่าการแก้ไข” เพราะในอนาคตสามารถเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อีกทุกเมื่อ เพราะถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนหลักของโลก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งในประเทศและจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว หรือหมู่เกาะอันดามันที่อาจส่งผลกระทบถึงไทยได้
โดยเฉพาะอาคารสูงจะยิ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การขยายแรงสั่นสะเทือน” (Site Amplification) ซึ่งทำให้แรงแผ่นดินไหวที่อาคารรับรู้ได้เพิ่มสูงขึ้น และการออกแบบอาคารให้มีโครงสร้างที่มั่นคงตั้งแต่ต้น ย่อมดีกว่าการซ่อมแซมหลังเกิดเหตุ
ในขณะเดียวกันที่ภาคเอกชนเริ่มขานรับ ภาคประชาชนเริ่มตั้งคำถามและให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ภาคกฎหมายเริ่มขยับตาม ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงให้กับที่อยู่อาศัยของคนไทยในอนาคต
ดังนั้น เมื่อกฎหมายในประเทศไทยเริ่มครอบคลุมมากขึ้น แต่การบังคับใช้และการผลักดันให้เกิดมาตรฐานการก่อสร้างที่เข้มงวดและปฏิบัติได้จริงในทุกพื้นที่ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการออกกฎหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ภาคเอกชนในการนำเทคโนโลยีและมาตรฐานที่ดีที่สุดมาใช้ และภาคประชาชนในการตื่นตัวและตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย เพื่อร่วมกันวางรากฐานที่มั่นคงให้กับ “บ้านที่อยู่รอด” ในวันที่ภัยพิบัติมาถึง
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,113 วันที่ 13 - 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568