เหตุการณ์แผ่นดินไหวกลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างของไทยโดยเฉพาะความท้าทายในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับอาคารสูงและโครงสร้างพื้นฐาน “ฤทธา” บริษัทผู้รับเหมาชั้นนำของไทยได้แสดงศักยภาพและความพร้อมในการตอบสนองสถานการณ์ดังกล่าวพร้อมทั้งสะท้อนบทบาทสำคัญของการร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนในการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้าและผู้ใช้งานอาคาร
นายปณิธาน เทพนิกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฤทธา จำกัด เปิดเผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมาบริษัทได้รับการร้องเรียนจากลูกค้าเก่าให้เข้าตรวจสอบอาคารเพื่อตรวจหาความเสียหายหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแม้ว่าบริษัทจะเผชิญกับความท้าทายในเรื่องกำลังคนที่มีจำกัด แต่ก็ยังสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบถ้วนตามมาตรฐาน โดยพบว่าโครงสร้างอาคารโลว์ไรส์ที่บริษัทออกแบบและก่อสร้างไม่ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ส่วนอาคารสูงนั้น มีเพียงปัญหาทางด้านสถาปัตยกรรม เช่น รอยร้าวที่ผนัง ซึ่งสามารถซ่อมแซมได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
นายปณิธานยังเน้นยํ้าถึงความสำคัญของมาตรฐานการออกแบบและการก่อสร้างที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ ซึ่งเป็นข้อกำหนดตามกฎหมายที่กรมโยธาธิการและผังเมืองได้กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่าหลังเหตุการณ์นี้ มาตรฐานดังกล่าวอาจต้องได้รับการยกระดับให้ครอบคลุมและเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของอาคารสูงและโครงสร้างที่ต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนมากกว่าอาคารทั่วไป
“สิ่งสำคัญคือความร่วมมือของทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้ออกแบบ วิศวกรผู้รับเหมา ไปจนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกคนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้อาคาร และเมื่อเกิดปัญหา เราก็ต้องพร้อมรับมือและแก้ไขอย่างทันท่วงที” นายปณิธานกล่าว
นอกจากการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินฤทธายังมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ในกระบวนการก่อสร้างตั้งแต่การใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบแบบจำลองสามมิติที่ช่วยลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการทำงาน ไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ผนังสำเร็จรูปที่ลดการใช้งานไม้จริง และมีคุณสมบัติช่วยลดการใช้พลังงานในระยะยาว รวมถึงนายปณิธานยังได้กล่าวถึงการให้บริการหลังการขายว่าเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของบริษัท โดยทีมงานพร้อมเข้าไปตรวจ
โครงการในระยะยาวเพื่อให้มั่นใจว่าอาคารทุกแห่งยังคงคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของมาตรฐานอาคารเท่านั้นแต่ยังอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในแนวทางการพัฒนากฎหมายและมาตรการต่างๆ ในอนาคต นายปณิธานมองว่า การอัปเกรดมาตรฐานการก่อสร้างให้ครอบคลุมและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเป็นสิ่งจำเป็นและตลาดอสังหาริมทรัพย์เองก็ต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากขึ้น
ในอนาคต คาดว่าความต้องการอาคารที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการโลว์ไรส์และที่พักอาศัยแนวราบซึ่งผู้บริโภคอาจมองว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนความปลอดภัยของอาคารจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
โดยภาพรวมแล้วจากวิกฤตการณ์แผ่นดินไหวเมื่อต้นปีฤทธาไม่เพียงแสดงให้เห็นการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทของบริษัทที่ต้องการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างของไทย ทั้งในด้านความปลอดภัย ความยั่งยืน และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความมุ่งมั่นนี้ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าแต่ยังเป็นแรงผลักดันให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ ให้ก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้น
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,110 วันที่ 3 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568