ปรับค่าแรงขั้นตํ่า กทม.400บาท ทุบซํ้าอสังหาฯ -ก่อสร้าง วอนชะลอออกไปให้ธุรกิจปรับตัว

24 มิ.ย. 2568 | 23:19 น.
อัปเดตล่าสุด :25 มิ.ย. 2568 | 03:33 น.

กูรูมองค่าแรงขั้นตํ่ากทม.400ทุบซํ้าอสังหาฯ -ก่อสร้าง เอสเอ็มอี ภาคบริการ ควรชะลอออกไปให้ธุรกิจปรับตัวแนะออกมาตรการรองรับ-ปรับตามทักษะ

คณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) มีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่าเป็น 400 บาทต่อวัน ในกรุงเทพมหานครและบางกิจการในต่างจังหวัด เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ส่งผลดีต่อผู้ใช้แรงงาน แต่ในทางตรงกันข้ามมีผลกระทบต่อต้นทุน ภาคธุรกิจท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน หลายสถานการณ์รุมเร้า และนำไปสู่เสียงคัดค้านเป็นวงกว้าง ซึ่งไม่แน่ชัดว่าจะเลื่อนการบังคับใช้ออกไปหรือไม่

ปรับค่าแรงกระทบอสังหาฯ-ก่อสร้าง

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นับว่าเป็นนโยบายที่มีเจตนาดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน แต่ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมากอย่างค่าแรงขั้นตํ่าในกรุงเทพมหานคร ปรับขึ้น 28 บาท จาก 372 บาทเป็น 400 บาท เท่ากับ 7.5% ส่งผลให้ ค่าก่อสร้างบ้าน ต้นทุนเพิ่ม ขึ้นประมาณ 2.25% (จากสัดส่วนค่าวัสดุ 70% ค่าแรง 30%) ซึ่งจะมีผลกับโครงการเดิมซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือโครงการที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568นี้เป็นต้นไป

ผลกระทบปรับค่าแรงขั้นต่ำ400บาทและข้อเสนอ

  หากมองให้ลึกลงไป จะกระทบโครงการระดับกลางและล่างซึ่งกำหนดราคาขายอย่างจำกัด จะได้รับผลกระทบมากที่สุด และอาจทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ หรือทำให้ที่อยู่อาศัยระดับราคากลางล่างต้องขยับไกลออกไปจากศูนย์กลางกรุงเทพมหานครเนื่องจากต้องหาที่ดินที่ราคาตํ่าลงเพื่อชดเชยต้นทุนการก่อสร้างนี้ ขณะการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามการปรับค่าแรงเฉพาะกรุงเทพมหานครอาจดึงแรงงานจากต่างจังหวัดเข้าสู่เมืองหลวง เกิดการขาดแคลนแรงงานในภูมิภาค และทำให้ต้นทุนก่อสร้างในจังหวัดอื่นพุ่งขึ้นตาม

แนะออกมาตรการรองรับ-ปรับตามทักษะ

ดังนั้น จึงควรมีมาตรการรองรับต้นทุนเพิ่มขึ้นเช่น

1.การลดภาษีธุรกิจเฉพาะชั่วคราว หรือขยายระยะเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน/จดจำนอง เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการและผู้ซื้อ

2.เพื่อให้ธุรกิจมีเวลาปรับตัว ควรใช้แนวทางปรับเป็นช่วงเวลา เช่น ปรับขึ้นครึ่งหนึ่งก่อนในไตรมาส 3 และอีกครึ่งในต้นปีถัดไป

นอกจากนี้รัฐควรให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปและเทคโนโลยีลดใช้แรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งแรงงานมาก เร่งแก้ไขปัญหาอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อธนาคารแก่ลูกค้ารายย่อย หรือ เร่งออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ

เช่น การเพิ่มตัวเลขมาตรการลดหย่อนภาษีจากการซื้อบ้าน หรือสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย เพื่อรักษาความต้องการซื้อไม่ให้ชะลอตัวลง รวมถึงการจัดโครงสร้างค่าแรงอย่างเป็นระบบ เช่น ให้มีการจัดทำโครงสร้างค่าจ้างแบบมีตัวแปรตามทักษะ (Skill-based wage) และตามภูมิภาค โดยไม่ใช่แบบอัตราเดียวทั่วประเทศ แรงงานไทยที่มีทักษะบ้างแล้วจึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่ มิฉะนั้นการขึ้นค่าแรงแต่ละครั้งแรงงานต่างด้าวจะได้รับประโยชน์เป็นส่วนใหญ่

นายสุนทร สรุปว่าเป็นแนวคิดที่ดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานไทยอย่างยั่งยืน แต่การปรับค่าแรงควรอยู่บนพื้นฐานของความสามารถในการรองรับของธุรกิจ และควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือเพื่อรักษาสมดุลของระบบเศรษฐกิจด้วย

ก่อสร้าง-โรงงาน-เอสเอ็มอีเสี่ยง

 เช่นเดียวกับนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยมองว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าในกรุงเทพมหานคร400บาทต่อวัน แน่นอนว่าจะมีผลกระทบโดยรวมกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และ ธุรกิจเอ็นเอ็มอี โรงงานอุตสาหกรรมที่อาจต้องปิดตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังนั้นทางออกเดียวคือผู้ประกอบการต้องลดต้นทุนลง

นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายก สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระบุว่าภาคก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาทในกรุงเทพมหานคร และกิจกรรมบางจังหวัด ในขณะโครงการเอกชน และภาครัฐลดลง ที่สำคัญสถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อผู้ประกอบการเอ็สเอ็มอี อาจต้องปิดตัวลงทางออกรัฐต้องเข้ามาสนับสนุนทั้งมาตรการช่วยเหลือและให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อ 

สอดคล้องกับ นายสุรเชษฐ์ กองชีพหัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของบริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย จำกัด ระบุว่า วันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นตํ่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นวันละ 400 บาท และจังหวัดอื่นขึ้นค่าแรง 400 บาท สำหรับคนที่ทำงานในกลุ่มอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการโรงแรมทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนที่อยู่ในภาคการทำงานที่รับค่าแรงขั้นตํ่า โดยเฉพาะในช่วงภาวะเศรษฐกิจแบบนี้

ในทางกลับกันก็กลายเป็นการเพิ่มภาระหรือรายจ่ายประจำกับกลุ่มของนายจ้างโดยโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก แต่ยังดีที่การปรับขึ้นครั้งนี้ยังจำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพมหานคร แต่ก็อาจจะกลายเป็นการดึงดูดแรงงานจำนวนมากให้เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานครมากกว่าที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนายจ้างที่ได้รับผลกระทบ

คือ กลุ่มของนายจ้างที่เป็นเจ้าของกิจการขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะกำลังอยู่ในช่วงที่รายได้ไม่เพียงพอ เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อเจอกับเรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีการจ้างงานเพิ่มเติม หรืออาจจะมีการพิจารณาถึงแนวทางในการจัดการปัญหาเรื่องการจ้างงานของพวกเขาใหม่ เนื่องจากไม่อยากแบกภาระต้นทุนเรื่องค่าจ้างมากเกินไป แม้ว่าการปรับเพิ่มขึ้นครั้งนี้ในมุมมองของกระทรวงแรงงานอาจจะมองว่าเป็นการปรับเพิ่มเพียง 28 บาทสำหรับในกรุงเทพมหานคร เพราะจากปี 2567 อยู่ที่ 372 บาทต่อวัน แต่ถ้ามีลูกจ้างหรือคนงานที่ได้รับค่าแรงขั้นตํ่าอยู่หลายคนก็เพิ่มขึ้นวันละไม่น้อยเลย

แรงงานภาคบริการ ได้อานิสงส์ 

สำหรับจังหวัดอื่นๆ นอกกรุงเทพ มหานครกลุ่มคนที่ทำงานในโรงแรมระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป และกิจการสถานบริการทั่วประเทศ จึงจะได้ค่าแรงวันละ 400 บาท ซึ่งอาจจะถือว่าได้เพิ่มขึ้นมากในบางจังหวัดสำหรับคนที่ทำงานในกิจการที่ได้รับอานิสงส์ครั้งนี้ เพราะถ้าทำงานในจังหวัดทางภาคกลาง อีสาน ตะวันตก ใต้ เหนือที่ไม่ใช่จังหวัดใหญ่อาจจะได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นวันละ 40-60 บาทแล้วแต่จังหวัด แต่คนที่งานในภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และเกาะสมุยอาจจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เพราะได้ 400 บาทต่อวันอยู่แล้ว

คนที่ได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้นย่อมยินดี ผู้ประกอบการที่ไม่เคยจ่ายค่าแรงวันละ 400 บาทมาก่อนก็อาจจะต้องพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานมากขึ้น เพราะธุรกิจการท่องเที่ยว ณ ปัจจุบันก็ไม่ได้สร้างรายได้มากมายเท่าใดเนื่องจากปัจจัยลบหลายอย่างมีผลต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น และช่วงที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนหายไป การปรับขึ้นค่าแรง 400 บาทในธุรกิจนี้อาจจะมีผลต่อหลายโรงแรมที่มีปัญหาการเงินอยู่แล้ว อาจจะมีการลดคนหรือเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานเป็นแบบอื่น เพื่อเลี่ยงการจ่ายค่าแรงขั้นตํ่าวันละ 400 บาท

 แรงงานไทยในกทม.ค่าแรงเกิน 400

ขณะที่นายโสภณ พรโชคชัย  ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (AREA) มองว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า 400 บาทต่อวันในกรุงเทพมหานครไม่กระทบต้นทุนผู้ประกอบการ เนื่องจากส่วนใหญ่มีค่าแรงที่สูงกว่า 400 บาทต่อวันไปแล้วโดยเฉพาะคนไทย

แม้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าเป็นเรื่องที่ดีในแง่ของปากท้องแต่หากธุรกิจรับมือไม่ไหวผลกระทบที่วนกลับมาคือการเลิกจ้างแรงงาน!!!

 

หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐารเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,108 วันที่ 26 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568