นายวรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวในงานสัมนา “Thailand Investment Forum 2025" หัวข้อเรื่อง Make Money in Real Estate จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้คน นำไปสู่พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบใหม่ และตั้งแต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ไม่คาดคิดในประเทศไทยได้สร้างความกังวล มีผลกระทบต่ออาคารสูง 8 ชั้นขึ้นไป หรือ กลุ่มไฮไลท์ ทำให้ยอดขายโครงการไฮไลท์ยังไม่ฟื้นตัวกลับมา
ทั้งนี้ ผู้คนเริ่มเลือกที่อยู่อาศัยที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น โดยสัญญาณการซื้อห้องชุดโครงการโลว์ไลท์ ยังอยู่ในระดับปกติ แต่แนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมียอดขายที่ดีขึ้น เนื่องจากคนเปลี่ยนจากการซื้อคอนโดมิเนียมมาเป็นบ้านมากขึ้น เพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม วิกฤตได้สร้างโอกาสการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์มากมาย โดยผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทางผลประกอบการทำให้เกิดการปรับลดราคาและเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย
"ผ่านมาครึ่งปีแล้ว พบว่า ทุก developer ผลประกอบการที่ผ่านมาจากผลงานการดำเนินงาน รายงานงบการเงินที่ประกอบกิจการลดลงเกือบ 90 % ในแง่ของผู้บริโภคนั้น เราก็จะได้ส่วนลดของราคาสินค้าที่ถูกลงในช่วงนี้ ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่น่าพิจารณาในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีราคาที่น่าสนใจและโปรโมชั่นดีๆ“
นายวรเดช กล่าวว่า อสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องยนต์สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมถึงรัฐบาลปัจจุบัน ต่างสนับสนุนการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อขับเคลื่อนตัวเลขเศรษฐกิจที่ครบวงจรที่สุด และอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากในอดีต และคาดว่าในอนาคตราคายังคงมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีก ยืนยันได้ว่า การลงทุนในภาคสังหาริมทรัพย์ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยที่สุด
ทั้งนี้ ในอนาคตข้างหน้าภาคอสังหาริมทรัพย์จะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยจะมีแพลตฟอร์มตัวกลางเชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น AI จะเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์ตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค การสร้างคอนเทนต์ และการวิเคราะห์ความต้องการ เช่นเดียวกันกับ วีบียอนด์ ปัจจุบันมีลูกค้าที่ตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ผ่านแพลตฟอร์มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน แม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจใดๆ ก็ตาม อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์การลงทุนอันดับต้นๆ เห็นได้จากแนวโน้มราคาที่ดินยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง เมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น ผู้ที่สามารถเข้าถึงหรือซื้อได้จะน้อยลงเรื่อยๆ และประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลาง ทำให้การเข้าถึงอสังหาริมทรัพย์ราคาสูงทำได้ยาก แนวโน้มการเช่าจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่
“อนาคตอสังหาริมททรัพย์หน้าตาจะเปลี่ยนไป หากไม่รีบซื้อบ้านหรืออาคารในราคาที่ยังจับต้องได้ในตอนนี้ อาจซื้อได้ยากขึ้นในอีก 3-10 ปีข้างหน้า หากระดับรายได้ของประชากรส่วนใหญ่ยังไม่พัฒนาขึ้น”
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่านั้น พื้นที่ที่มีความต้องการเช่าสูง เช่น บางซื่อ (11%), ปทุมวัน, วัฒนา, บางคอแหลม, คลองสาน เนื่องจากมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม
ทั้งนี้ ชาวต่างชาติยังคงเลือกประเทศไทยเป็นที่พำนักหรือทำงาน (จีน 28%, ฟิลิปปินส์ 25%, ญี่ปุ่น 14%) ซึ่งสร้างความต้องการในตลาดเช่าการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและศูนย์ Data Center ขนาดใหญ่ จะดึงดูดแรงงานและประชากรจำนวนมาก ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นั้นๆ เติบโต ทั้งการซื้อขายและเช่า ส่งผลให้ราคาสูงขึ้น
ขณะที่โอกาสการซื้อที่อยู่อาศัยราคาถูกนั้น ขณะนี้โครงสร้างหนี้เสีย (NPL) ในระบบปัจจุบันสูงขึ้น ธุรกิจ AMC ซึ่งทำหน้าที่ซื้อหนี้เสียเพื่อบริหารจัดการ กำลังเติบโต เพื่อระบายหนี้เสียเหล่านี้ รวมถึงสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน จะนำไปสู่โอกาสในการซื้อบ้านในราคาที่ถูกลง
ทั้งนี้ วีบียอนด์ ก็บริหารธุรกิจ โดยการนำบ้านมือสองมาปรับปรุงใหม่ โดยใช้นวัตกรรมและการประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นราคาที่จับต้องได้ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ชั้นในและปริมณฑล ประมาณ 3,000-4,000 ยูนิต บ้านเหล่านี้จะมีการติดตั้งเทคโนโลยี เช่น ที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า, โซลาร์เซลล์ ในราคาที่จับต้องได้ และธนาคารพร้อมให้สินเชื่อที่สามารถผ่อนชำระในหลักพันบาทต่อเดือนได้สำหรับผู้มีรายได้น้อย
“เราจะเข้าไปจับมือกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ พัฒนาโครงการ "บ้านตั้งตัว" จะมีการแถลงข่าวเปิดโครงการเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ยังไม่มีบ้าน หรือนักลงทุนที่มองหาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีราคาจับต้องได้ ยืนยันว่า อสังหาริมทรัพย์ยังเป็นโอกาสที่น่าลงทุน และปลอดภัยที่สุดในยุคปัจจุบัน”