“ภูเก็ต” เมืองท่องเที่ยวระดับโลกของไทย จุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติ เข้ามาใช้ชีวิต ส่งผลตลาดอสังหา ริมทรัพย์เติบโตอย่างก้าวกระโดดทุกพื้นที่บนเกาะแห่งนี้ เกิดการพัฒนา ที่ไม่หยุดนิ่ง ทั้ง แหล่งช้อปปิ้ง โครงการคอนโดมิเนียม พลูวิลล่า บ้านพักตากอากาศหรู ราคาแพงระยับ สวนทางเศรษฐกิจชะลอตัวขณะราคาที่ดินขยับร้อนแรงต่อเนื่อง และเป็นเมืองที่สร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนในอสังหา ริมทรัพย์ที่ไม่ใช่เพียงแค่มาพักผ่อน
จากความแออัดและสภาพการจราจรที่คับคั่ง ทางโซนทางตะวันตกของเกาะภูเก็ต อำเภอ กระทู้หาดป่าตอง อำเภอถลาง ย่านหาดบางเทา หาดสุรินทร์ หาดลายัน เชิงทะเล ฯลฯ ส่งผลให้ นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาพื้นที่สดใหม่คงความเป็นธรรมชาติมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่การเดินทางสะดวกใกล้สนามบิน
“ในทอน” หาดเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยธรรมชาติกว้างใหญ่ จึงถูกพูดถึงมากในเวลานี้จากจุดเด่นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะภูเก็ต ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถตำบลสาคู อำเภอถลาง มีดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการรองรับกลุ่มตลาดต่างชาติกำลังซื้อสูงอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะสัญชาติรัสเชีย ที่มาใช้ชีวิต จึงถูกขนานนามว่า “ลิตเติ้ล มอสโก”
โดยเฉพาะ “กลุ่ม มโนธรรมรักษา” แลนด์ลอร์ดใหญ่ ถือครองที่ดินมากที่สุดใจกลาง หาดในทอน แบรนด์" SEA HEAVEN PHUKET NAITHON"
ภายใต้การนำของ นายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด ทายาทรุ่นสองของนายทรงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ผู้เป็นบิดา ผู้ก่อตั้งบมจ.เจ.เอส.พี.พร๊อพเพอร์ตี้ พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานคร และภูมิภาคกว่า 50 ปี
ผู้บุกเบิกและสะสมแลนด์แบงก์ทั้งรูปแบบลิสโฮลด์และฟรีโฮลด์ บนหาดแห่งนี้มานานกว่า 10 ปี จึงมีความได้เปรียบถึงต้นทุนในการพัฒนาขณะที่ที่ดินเริ่มหายากและมีราคาสูงขึ้นทุกปี
นายวีระวิทย์เล่าว่าเริ่มนำที่ดินออกพัฒนาโครงการในปี 2562 คืออาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น จำนวน 20 ยูนิต บริเวณโซนหน้า ติดถนน และหาดในทอน เป็นรูปแบบขายเช่าระยะยาว 30 ปีราคา 7-8 ล้านบาทมูลค่า 100 ล้านบาท ปัจจุบันมีผู้เช่าเติมพื้นที่ เมื่อมี จุดขายมีคนเข้าพื้นที่ ได้ขยับพัฒนาที่ดินแปลงด้านใน 12 ไร่เป็นคอนโดมิเนียม
ปี 2562 ต่อเนื่องปี 2563 ร่วมทุนกับนักลงทุนจีน Bestart International Holdings มีสำนักงานใหญ่อยู่ประเทศสิงคโปร์ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท มีสองเฟส เน้นรูปแบบขายเช่าระยะยาว 30+30 ปี โดยเฟสแรก 1อาคารสูง5 ชั้น 37-70 ตารางเมตรจำนวน 124ยูนิตราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป
และปรับราคาขายเป็น 5-6 ล้านบาทต่อยูนิต ปัจจุบันปิดการขายเรียบร้อยแล้ว ส่วนเฟสที่สองเปิดขายปี 2566 คอนโดมิเนียมสูง5 ชั้นขนาด 30-70 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิตราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาทหรือเริ่มต้นที่ 120,000-130,000 ต่อตารางเมตร
ปัจจุบันปรับราคาขึ้นเริ่มต้นที่ 170,000 บาทต่อตารางเมตร มียอดขายแล้ว 72% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์ต่างชาติมีเกิดขึ้นต่อเนื่อง และสามารถปรับราคาขายได้ ซึ่งต่างจากกำลังซื้อในกรุงเทพมหานคร ที่ยังมีปัญหาเรื่องรีเจ็กต์เรต
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า นายวระวิทย์ อธิบายว่า บริษัทได้ ดึงเชนโรงแรมแบรนด์ WYNDHAM เข้ามาบริหารโครงการการันตรีผลตอบแทนการลงทุนที่ 7% ต่อปีเป็นเวลา 5ปี หลังจากนั้นในปีที่ 6 จะแบ่งผลประกอบการการปล่อยเช่า สัดส่วน 60:40 ลูกค้า 6 0% และบริษัท 40% โดยคอนโดมิเนียมในเฟสที่สอง เริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ ในเดือนพฤษภาคมนี้
ปี 2566 ขยายฐานพัฒนาโครงการเอง 100%ภายใต้ บริษัท เมอริส จำกัด ด้วยการนำที่ดิน 3 ไร่เศษจาก ทั้งหมด 80 ไร่มาพัฒนาวิลล่าแบรนด์ ภูวิสต้า วิลล่า จำนวน 10 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาทปัจจุบันขายแล้ว 8 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 32-72 ล้านบาท ปัจจุบันมีคนไทยซื้อแล้ว 3หลัง และหลังที่ขายไปแล้วมีราคาที่ 60 ล้านบาท ที่ชาวโปแลนด์ซื้อซึ่งเป็นรูปแบบสัญญาเช่าระยะยาว
และล่าสุด ได้นำที่ดิน 4 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์อีก 2 อาคารภายใต้แบรนด์ Seaheaven เฟส 3 เป็นการร่วมทุนกับทุนจีนรายเดิมมูลค่า 1,400 ล้านบาทเฟสแรก 108ยูนิตและเฟสสอง 115 ยูนิต และแผนระยะ2 ปี (2568-2569) มีแผนพัฒนาโครงการเองโดยไม่ร่วมกับพันธมิตร 2 โครงการโดยปีนี้พัฒนาโครงการ “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” ตั้งอยู่หาดในยางบนที่ดิน 15 ไร่ ห่างจากสนามบินภูเก็ต 15 นาทีรูปแบบวิล่าขนาด 60-100 ตารางวาราคา 15-35 ล้านบาทจำนวน 44 ยูนิตมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท
ในปี 2569 มีเป้าหมายเปิดตัวเป็นเมืองมิกซ์ยูส บนที่ดิน 80 ไร่ โดยเริ่มจากการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ แซง โทเปซสูง 7 ชั้นจำนวน 100 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.5-6 ล้านบาทมูลค่า 450 ล้านบาท และอนาคตมีแผนนำที่ดินพัฒนาโครงการรูปแบบเวลเนสที่น่าจับตา ทำเลใกล้กับโครงการ ได้มีโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีแผนพัฒนาเป็นศูนย์เวสเนสขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่มากขึ้น
ทั้งนี้ หากรวมมูลค่าทั้งโครงการในอนาคต จะมีมูลค่าได้มากถึง 10,000 ล้านบาท เพราะมีครบวงจร ทั้งพื้นที่ พาณิชย์ ช้อปปิ้ง โรงแรม คอนโดมิเนียมที่มีต่างชาติจองเกือบเต็ม และวิลล่าหรู
นายวีระวิทย์ฉายภาพว่า อนาคตในทอน และในยางจะไม่ต่างจาก เอกมัย ในกรุงเทพมหานครจาก กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงซึ่งเป็นต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยค่อนข้างมาก หลังจากบางเทา “ลากูน่า ภูเก็ต” เปรียบเสมือนทองหล่อ
ซึ่งเป็นโครงการที่ต่างชาติรู้จักมากที่สุดดังนั้นเป้าหมายของ บีสตาร์ เฮฟเว่น ก็เช่นกันจะกลายเป็น “มินิลากูน่า” ในอนาคต ใช้เวลาพัฒนาไม่ตํ่ากว่า 5 ปี นับจากนี้ และบนความโชคดีเป็นทำเลที่ไม่มีการแข่งขันรุนแรงเพราะเป็นโครงการหนึ่งเดียวและใหญ่ที่สุดในย่าน “ในทอน”
สะท้อนว่าภูเก็ตยังเติบโตอีกยาวไกลจากกำลังซื้อของต่างชาติที่ไม่เหือดหาย โดยเฉพาะชาวรัสเชียที่หนีอากาศหนาวและภัยสงคราม เข้ามาซื้อโครงการมากถึง 95% และหากจะขนานนามว่า “ลิตเติ้ล มอสโก” ก็คงไม่แปลกสำหรับ“ในทอน”ในเวลานี้
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,098 วันที่ 22 - 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568