รายงาน Southeast Asia Outlook 2025 โดยบริษัท คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ (Cushman & Wakefield) เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2567 เติบโต 16% เทียบกับปีก่อน โดยการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมขึ้นแท่นครองตลาดเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี แซงหน้าภาคสำนักงานและค้าปลีก โดยได้รับแรงส่งจากการย้ายฐานการผลิต การกระจายห่วงโซ่อุปทาน และการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า GDP ของภูมิภาคจะขยายตัว 4.8% ในปี 2567 สูงกว่าปี 2566 ที่โต 3.9% โดยมีปัจจัยหนุนจากการบริโภคในประเทศ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ แม้จะเผชิญปัจจัยลบในช่วงต้นไตรมาส 2 จากกำแพงภาษีนำเข้าที่สหรัฐอเมริกาประกาศใช้กับหลายประเทศในอาเซียนรวมถึงไทย
สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ภาคโรงแรมมีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดที่ 4 ร้อยล้านดอลลาร์ ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมตามมาที่ 2 ร้อยล้านดอลลาร์ สะท้อนความชัดเจนของการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว สะท้อนถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการ ขณะที่การลงทุนในโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด
นายแกเร็ธ ไมเคิล พาวเวลล์ ประธานบริหาร คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา มีการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น TikTok มูลค่า 8.8 พันล้านดอลลาร์, AWS 5.9 พันล้านดอลลาร์, Microsoft 2.9 พันล้านดอลลาร์ และ Google ที่เปิดศูนย์ข้อมูลแห่งที่ 5 ด้วยงบ 969 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเด็นที่อยู่ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุน โดยนายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ระบุว่า แม้จะเป็นอุปสรรค แต่ไทยยังมีแต้มต่อในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ทั้งจากการที่ไทยเองตั้งกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐฯ เช่น สินค้าเกษตรและเชื้อเพลิงจากเอทานอล
รวมถึงประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่สหรัฐฯ จับตา การใช้กลยุทธ์นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม อาจเป็นเครื่องต่อรองเพื่อลดอัตราภาษีจาก 36% ลงได้ และแม้จะต่อรองไม่สำเร็จ ไทยก็ยังคงเป็นเป้าหมายของนักลงทุนเช่นเดิม แต่อาจมีการชะลอการตัดสินใจชั่วคราวเพื่อรอดูผลการเจรจา
ในทิศทางเดียวกัน นายพงษ์พันธ์ พลอยเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ระบุว่า นักลงทุนจีนยังคงลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ว่าจะต้องเผชิญกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดในยุคสงครามการค้า (Trump 1.0) โดยเชื่อว่าผลกระทบต่อไทยจะเบากว่าจีน เพราะไทยมีแนวโน้มประนีประนอมและเจรจากับสหรัฐฯ มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ภาคโครงสร้างพื้นฐานของไทยยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูง การขยายท่าเรือ สนามบินอู่ตะเภา โครงการเมืองอัจฉริยะ โครงการแลนด์บริดจ์ และระบบมอเตอร์เวย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในระยะยาว
สำหรับแนวโน้มปี 2568 ตลาดอสังหาฯ อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ยังขยายตัวต่อเนื่อง ได้แรงหนุนจากสงครามการค้าและการย้ายฐานการผลิต ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทั่วภูมิภาคยังช่วยกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
ในส่วนของภาคสำนักงานแม้เผชิญภาวะชะลอตัว แต่สำนักงานเกรด A ในกรุงเทพฯ ยังคงได้รับความสนใจจากผู้เช่า โดยเฉพาะอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีเทคโนโลยีทันสมัย ส่วนภาคค้าปลีกโดยเฉพาะศูนย์การค้าเกรด A ในย่านศูนย์กลางเริ่มเห็นแนวโน้มค่าเช่าปรับตัวขึ้นจากการขยายของแบรนด์เนม ในขณะที่ร้านค้าขนาดกลางเผชิญแรงกดดัน
ด้านตลาดที่อยู่อาศัย แนวโน้มบ้านแนวราบและคอนโด Low-rise ยังคาดว่าเติบโตได้ดี ส่วนคอนโดมิเนียมสูงยังชะลอทั้งยอดขายและราคา ส่วนตลาดคลังสินค้ายังมีแนวโน้มค่าเช่าขยับขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ โดยเฉพาะหากประเด็นภาษีระหว่างประเทศคลี่คลาย
ในภาพรวมแล้ว แม้ประเทศไทยจะต้องเผชิญแรงเสียดทานจากนโยบายระหว่างประเทศ แต่ยังคงเป็นอีกหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา