TPIPP ดีเกินคาด ประกาศจ่ายปันผลเท่าเดิม สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด

08 ก.ย. 2566 | 06:50 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.ย. 2566 | 06:56 น.

TPIPP ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ประกาศจ่ายเงินปันผล 12 สตางค์ หรือ 0.12 บาทต่อหุ้น สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด

บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ประกาศจ่ายเงินปันผล 12 สตางค์ สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในปี 2566 ซึ่งเท่ากับปีที่แล้ว ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ หลังจากที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกในปี 2566 ดีกว่าครึ่งปีแรกในปี 2565 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ โดยบริษัทฯยังเน้นเรื่องการปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าทั้งหมดให้กลายเป็นโรงไฟฟ้าสะอาดสีเขียวเพื่อให้กลายเป็นโรงไฟฟ้าไร้คาร์บอน

 

บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 12 สตางค์ หรือ 0.12 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรก ระหว่าง 1 มกราคม 2566 ถึง 30 มิถุนายน 2566 โดยกำหนดผู้มีสิทธิได้เงินปันผลจากข้อมูล ณ วันที่ 14 กันยายน 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 25 กันยายน 2566 ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1981.4 ล้านบาท สูงขึ้นจาก 1710.3 ล้านบาทใน 6 เดือนแรกของปี 2565 หรือโตขึ้นร้อยละ 15.85 โดยการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 12 สตางค์ต่อหุ้นนั้นคิดเป็นเงินจำนวนรวม 1,008 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50.87 ของกำไรสุทธิ

 

ทางด้าน นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP กล่าวว่าการที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 ที่ 12 สตางค์ต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ดีกว่าตลาดที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลลดลง กอปรกับการที่ผลประกอบการบริษัทฯดีขึ้น ทั้งรายได้รวม กำไรสุทธิ และตัวชี้วัดอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าบริษัทฯยังมีความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง ถึงแม้ว่า สัญญาซื้อขายไฟฟ้า หรือ PPA ที่ได้รับราคาเพิ่มพิเศษ หรือ Adder จะลดลงจาก 163 เมกกะวัตต์ เหลือแค่ 90 เมกกะวัตต์ ก็ตาม

“แม้ว่า Adder ของบริษัทฯจะลดลงจาก 3 สัญญาเหลือแค่สัญญาเดียว ซึ่ง 2 สัญญาที่ Adder หมด บริษัทฯก็ยังขายค่าไฟได้ในราคาฐาน ไม่ได้หยุดขายไฟฟ้าแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจคือหลังจากที่ Adder ลดลง ผลประกอบการบริษัทฯกลับดีขึ้น โตกว่าปีที่แล้วกว่า 15% ผิดคาดจากตลาดซึ่งปรามาสว่าบริษัทฯจะกำไรลดลง ซึ่งการที่กำไรสูงขึ้นมาจากการที่บริษัทฯได้เริ่มทำการเปลี่ยนโรงไฟฟ้าถ่านหินบางส่วน ให้ใช้เชื้อเพลิงขยะบนเส้นทางสู่ Net Zero ของบริษัทฯ โดยต้นทุนของโรงไฟฟ้าขยะไม่ได้ผันผวนเหมือนกับโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ นอกจากนี้การเปลี่ยนผ่านโรงไฟฟ้าเป็นโรงไฟฟ้าสะอาดให้หมดภายในปี 2569 ยังสอดคล้องกับความตั้งใจของบริษัทฯ ที่เน้นเรื่อง ESG เพื่อโลกที่น่าอยู่ ดังนั้นการเดินทางสู่ Net Zero ช่วยทั้งเรื่องลดต้นทุน และช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน” นายภัคพลกล่าว