KEY
POINTS
วันที่ 29 ธันวาคม 2568 พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)เ ปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์ภายใต้หัวข้อ “ทำอย่างไรให้ไทยหายจน ด้วยคนทำเป็น” โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายกรณ์ จาติกวณิช และ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ร่วมอธิบายแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ พร้อมย้ำว่า รัฐต้องปรับบทบาทจาก “ผู้ควบคุม” มาเป็น “ผู้ผลักดัน” เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกรณ์ กล่าวว่า ในช่วงกว่า 15 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ เฉลี่ยเพียงราว 2% ต่อปี แตกต่างจากช่วงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เคยบริหาร ซึ่งสามารถดึงเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวกว่า 7% ภายในปีเดียวหลังวิกฤตการเงินโลก
แต่ปัจจุบันกำไรบริษัทไม่เพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบ การจ้างงาน–รายได้ประชาชนไม่ดีขึ้น ขณะที่หนี้ครัวเรือนพุ่งจากประมาณ 60% ของ GDP เป็นเกือบ 90% สะท้อนปัญหารายได้ไม่ทันรายจ่าย
นายกรณ์ ระบุเพิ่มเติมว่า บทบาทของไทยในเวทีโลกถดถอยลงอย่างชัดเจน ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสำคัญในภูมิภาค ทั้งที่ประเทศอาเซียนอื่นเข้าร่วม ขัดกับอดีตที่ไทยเคยมีบทบาทเชื่อมผู้ผลิต–ผู้ซื้อยางพาราจนราคาปรับตัวดีขึ้น ชี้ว่าหากฟื้นความน่าเชื่อถือ ไทยจะกลับมามีอำนาจต่อรองเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้
ด้าน ดร.การดี ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะสังคมสูงวัย–อัตราเกิดต่ำ คนวัยทำงานต้องรับภาระทั้งพ่อแม่และลูก ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น เธอย้ำว่าโจทย์เร่งด่วนคือ ทำอย่างไรให้เด็กที่เกิดน้อยลงเติบโตเป็นทรัพยากรคุณภาพของชาติ และทำให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันต้องเตรียม workforce รับความเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ที่จะเปลี่ยนรูปแบบงานและทักษะที่ตลาดต้องการ
ขณะที่่ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่า ตัวที่จะเป็นคำตอบว่าประเทศไทยจะหายจนได้อย่างไร คือ บ้านเมืองสุจริต เศรษฐกิจดี มีความยุติธรรม เป็นผู้นำในภูมิภาค และรัฐจะเป็นผู้ผลักดัน โดยชี้ทาง เปิดทาง และไม่ขวางทาง
โดยได้อธิบายเสนอแนวคิดและวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาความยากจนของประเทศไทย ชี้ว่า ปัญหาที่คนไทยเผชิญไม่ได้เกิดจากปัจจัยระยะสั้น แต่เป็นปัญหาที่สะสมยาวนาน และจำเป็นต้องมีผู้นำที่เข้าใจแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมกำหนดเป้าหมายชัดเจนในการทำให้ “ไทยหายจน” ผ่านการออกแบบนโยบายที่ตรวจสอบได้
เป้าหมายสำคัญข้อแรกคือ “บ้านเมืองสุจริต” โดยระบุว่า การทุจริตไม่เพียงทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณ แต่ยังเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจ สร้างกฎระเบียบที่ซับซ้อน และบั่นทอนความเชื่อมั่น จนเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจและการพัฒนาประเทศ
“ไม่มีประเทศใดเจริญได้ หากขาดความโปร่งใสและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เป้าหมายข้อที่สองคือ “เศรษฐกิจดี” อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงจากอดีต เหลือเพียงร้อยละ 2–3 ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนเติบโตเกินร้อยละ 5 หากไทยสามารถเร่งการเติบโตได้ จะทำให้รายได้ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลดีต่อรายได้ประชาชนและรายได้ภาษีของรัฐ
เป้าหมายข้อที่สามคือ “ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยุติธรรม” ซึ่งไม่เพียงเกี่ยวข้องกับรายได้ แต่รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม โดยชี้ว่าความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นชนวนความขัดแย้งในสังคม
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องกลับมามีบทบาทนำในภูมิภาค เพื่อรับมือปัญหาข้ามพรมแดน อาทิ อาชญากรรมออนไลน์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ พร้อมเสนอให้ไทยใช้บทบาทผู้นำอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจและบรรษัทข้ามชาติ
ในเชิงนโยบายเสนอให้รัฐปรับบทบาทจากผู้ควบคุมเป็น “ผู้ผลักดัน” ทำหน้าที่ชี้ทาง เปิดทาง และไม่ขวางทาง โดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีในการสนับสนุนภาคเอกชน การท่องเที่ยว สุขภาพ พลังงานสะอาด และการปราบปรามคอร์รัปชัน พร้อมผลักดันการเปิดตลาด การเจรจาการค้า และลดต้นทุนพลังงานโดยไม่ใช้เงินภาษี
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า หากได้เข้าบริหารประเทศ จะกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนในการตรวจสอบผลลัพธ์ อาทิ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน ความโปร่งใส และต้นทุนการทำธุรกิจ เพื่อให้ประชาชนติดตามและประเมินได้ว่าการทำงานบรรลุเป้าหมาย “ไทยหายจน” อย่างแท้จริง โดยมีนโยบาย 27 ข้อ ให้ติดตามได้หลังจากนี้
หลังการแสดงวิสัยทัศน์ นายอภิสิทธิ์ พร้อมด้วย นายกรณ์ และ ดร.การดี ได้อวยพรปีใหม่ให้กับประชาชนโดยพูดพร้อมกันว่า “2569 ปีใหม่ขอให้ไทยหายจน”