KEY
POINTS
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 27 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 คือจุดเริ่มต้นของ “การเปลี่ยนผ่านรุ่น” ทางการเมือง แต่ การเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569 คือสนามที่การเปลี่ยนผ่านนั้นจะถูกตัดสินด้วย “โครงสร้างเสียงจริง” ไม่ใช่เพียงกระแส
ข้อมูลประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุ 18 ปีขึ้นไปจาก กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุชัดว่า ประเทศไทยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 53.06 ล้านคน โดยสมดุลอำนาจไม่ได้กระจายเท่ากัน
กลุ่ม Gen X (44–59 ปี) และ Gen Y (28–43 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงาน รวมกันกว่า 30.9 ล้านเสียง หรือเกือบ 60% ของผู้มีสิทธิทั้งหมด นี่คือ “เสียงข้างมากเชิงโครงสร้าง” ที่กำหนดรูปแบบรัฐบาล นโยบายเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเมือง
ต่างจากการเลือกตั้ง 2566 ที่หลายพรรคพยายามขับเคลื่อนด้วยกระแสและสัญลักษณ์ การเลือกตั้ง 2569 บังคับให้พรรคต้องตอบคำถามหนัก ๆ เรื่อง รายได้ หนี้สิน ค่าครองชีพ ภาษี และความมั่นคงอาชีพ หากนโยบายไม่แตะชีวิตจริงของวัยทำงาน โอกาสแพ้เชิงพื้นที่จะสูงขึ้นทันที
ระหว่างการเลือกตั้ง 2566 ถึง 2569 ประเทศไทยจะมี first-time voter ราว 3.2–3.4 ล้านคน เกือบทั้งหมดอยู่ใน Gen Z ตอนต้น (18–20 ปี) นี่ไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ แต่คือการเพิ่ม “ทัศนคติการเมือง” ชุดใหม่เข้าสู่ระบบ
ผู้เลือกตั้งหน้าใหม่กลุ่มนี้ไม่มีประสบการณ์เลือกตั้งมาก่อน ไม่ผูกพันกับพรรคแบบดั้งเดิม และตัดสินใจจาก อนาคตมากกว่าอดีต
พรรคการเมืองที่ยังใช้สูตรเดิม—นโยบายกว้าง ๆ หรือการสื่อสารบนเวทีเก่า—มีความเสี่ยงเสียคะแนนในเขตที่ผลแพ้ชนะเฉือนกันหลักพันเสียง
แม้กระแสจะพูดถึงคนรุ่นใหม่ แต่ Baby Boomer ยังมีเกือบ 12 ล้านเสียง และเป็นกลุ่มที่ออกมาใช้สิทธิสูงสม่ำเสมอ การเมือง 2569 จึงเป็นการชนกันระหว่าง
เสถียรภาพ–ความมั่นคงชีวิต (Boomer)
ปากท้อง–โอกาสทางเศรษฐกิจ (Gen X–Y)
อนาคต–คุณค่า–ความเป็นธรรม (Gen Z / First-time voter)
พรรคใดเอนเอียงตอบโจทย์เพียงกลุ่มเดียว มีโอกาสชนะเชิงกระแส แต่แพ้เชิงโครงสร้าง
หากปี 2566 คือการเลือกตั้งที่วัด “แรงส่ง” ปี 2569 คือการเลือกตั้งที่วัด “การอ่านเกมอำนาจ” พรรคการเมืองที่เข้าใจว่า
ใครคือเสียงข้างมากจริง?
ใครคือเสียงใหม่ที่พลิกผลได้?
และใครคือฐานเสียงที่ต้องรักษา?
จะทำให้พรรคที่อ่านเกมออก ได้เปรียบอย่างเป็นรูปธรรม ในสนามที่คะแนนตัดสินกันทีละเขต
การเลือกตั้ง 2569 จึงไม่ใช่คำถามว่า ใครได้ใจคนรุ่นใหม่ที่สุด แต่คือ ใครบริหารสมดุลระหว่างเสียงใหญ่ เสียงใหม่ และเสียงมั่นคงได้ดีกว่า และนั่นคือคำตอบว่าใครจะได้อำนาจรัฐใน 4 ปีถัดไป