ดร.ณัฏฐ์ ชำแหละรธน.คือหมุดหมายประชาธิปไตยจริงหรือ? เมื่อกลุ่มผลประโยชน์ คุมเกมแก้

09 ธ.ค. 2568 | 10:52 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ธ.ค. 2568 | 10:55 น.

ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัด! ครบรอบวันรัฐธรรมนูญ คือ "กับดัก" ของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง เกมแก้ รธน.ถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมคุม! ล้มกระดานได้ทุกเมื่อ จับตา 3 ประชามติ และอำนาจ สว. 250 คน ที่บิดเบือนเจตจำนง ปชต. อำนาจสูงสุดเป็นของใครกันแน่?

สืบเนื่องจากนายมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาได้เปิดประชุมวิสามัญกรณีพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ในวาระ 2 ระหว่างวันที่ 10 - 11 ธันวาคม 2568 โดยวันนี้ตรงกับวันครบรอบรัฐธรรมนูญนั้

ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า เป้าหมายสูงสุดที่ประชาชนไทยต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นกติกาสูงสุดของประเทศที่ใช้ร่วมกันอย่างมี “ประสิทธิภาพสูงสุด”และ “ยอมรับกันได้ทุกฝ่าย”

โดยเป้าหมายสิทธิขั้นพื้นฐานคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของพี่น้องประชาชน โดยตั้งข้อรังเกียจรัฐรรมนูญฉบับไม่เป็นประชาธิปไตยอันเกิดจากคณะรัฐประหารที่ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ

อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ “ประชาชน” เป็นเจ้าของอำนาจ ตรงกับเจตจำนงเป้าหมายเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบใหม่ของคณะราษฎรที่ว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ใน มาตรา 1 พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475

ดร.ณัฏฐ์ ชำแหละรธน.คือหมุดหมายประชาธิปไตยจริงหรือ? เมื่อกลุ่มผลประโยชน์ คุมเกมแก้

เจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบใหม่เพื่อให้มี “รัฐธรรมนูญ” และ “ระบบรัฐสภา” หรือ Parlimentary System

พูดภาษาชาวบ้าน คือ การให้ประชาชนปกครองกันเอง ให้มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ผู้ปกครองต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ใช้อำนาจตามอำเภอใจไม่ได้อีกต่อไป โดยโครงสร้างการเมืองการปกครองของประเทศใช้ระบบการแบ่งแยกอำนาจ มิให้อำนาจอยู่ภายใต้บุคคลคนเดียว โดยให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

เหตุที่เป็นเช่นนี้ รัฐธรรมนูญเป็นกลไกกำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานให้เสมอภาคและเท่าเทียมกัน รวมถึงการออกแบบสถาบันทางการเมืองของไทย โดยประชาชนเจ้าของอำนาจ ใช้อำนาจประชาธิปไตยทางตรง เรียกว่า “การออกเสียงประชามติ”และใช้อำนาจประชาธิปไตยทางอ้อมผ่านตัวแทน เรียกว่า “การเลือกตั้ง”

ระบบรัฐสภา กำหนดให้รัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) “เป็นใหญ่” เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยหลักการแบ่งแยกอำนาจ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ มีอิสระและถ่วงดุล ตรวจสอบซึ่งกันและกัน

แต่รัฐธรรมนูญ กำหนดนิติสัมพันธ์ระหว่าง “ประชาชน” กับ “ออกเสียงประชามติ”

พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มาตรา 10 ให้ประธานรัฐสภาแจ้งนายกรัฐมนตรีในการออกเสียงประชามติแก้รัฐธรรมนูญ กำหนดเวลาไม่เร็วกว่า 90 วันและไม่ช้ากว่า 120 วัน 

 

โดยมาตรา 11/1 กำหนดให้จัดออกเสียงประชามติกับวันเลือกตั้งระดับชาติหรือท้องถิ่นได้ และในมาตรา 13 “ข้อยุติในการออกเสียงประชามติให้ใช้เสียงข้างมาก”

 

ปัญหาว่า ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจหน้าที่รัฐสภา ระบุชัด รัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติสอบถามประชาชนเจ้าของอำนาจ ผู้สถาปนาอำนาจรัฐธรรมนูญก่อน โดยกำหนดให้จัดทำประชามติถึง 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 - 2 จัดออกเสียงประชามติรวมกันมาได้

โดยตีความมัดและเสร็จเด็ดขาด “ห้ามรัฐสภาจัดให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ”

พูดภาษาชาวบ้าน คือ ห้ามรัฐสภาจัดให้มีการเลือกตั้ง สสร. ไม่ว่าขั้นตอนหนึ่ง ขั้นตอนใดของกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากฝ่าฝืน ตกเป็นโมฆะ  

 

รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบรัฐธรรมนูญของไทยเคยเกิดขึ้นในอดีต อาทิ รัฐธรรมนูญปี 2517 เกิดหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ทั้งสองฉบับถูกฉีกขาดโดยคณะรัฐประหาร

แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับซ่อนรูปโดย คสช. ยกระดับกระชับอำนาจ ในการตั้งรัฐบาลนาวาภายใต้การเลือกตั้งปี 2562 และปี 2566 ไม่เป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก กลับตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ส้มหล่นเป็นพรรคการเมืองลำดับสองที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ 

 

โดยมีตัวแปรหลัก “สว. 250 คน มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี” เป็นกับดัก มาตรา 272 วรรคหนึ่ง เมื่อพ้นอำนาจ สว. ยังเจอกับดักในเรื่อง มาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ภายหลังบริหารประเทศ

เหตุเพราะคำว่า “มาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ใน รัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ประกอบข้อกำหนดมาตรฐานจริยธรรมปี 2561 “เป็นยาแรง” โดยใช้บังคับทั้ง สส. สว.หรือคณะรัฐมนตรี รวมถึง 5 องค์กรอิสระ

 

แม้เกมแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระที่ 2 แต่ยังเจอกับดัก ในวาระที่ 3 โดยรัฐธรรมนูญฉบับแก้ยาก ต้องมี สว. 1 ใน 3 หรือจำนวน 67 คน “เป็นบทบังคับเด็ดขาด”

แต่เกมการเมืองระหว่างขั้วอำนาจเป็นเรื่องเฉพาะ “กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง” มิใช่ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เกมผลักดันให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นการสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองแต่ละพรรคก่อนการเลือกตั้งใหญ่ แต่

เกมแก้รัฐธรรมนูญ มีเงื่อนไข “ต้องผ่านวาระที่ 3 และผ่านประชามติ”

 

ส่วนเนื้อหาร่างพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อยู่ที่กำหนดเกมว่า คณะใด กลุ่มใด เป็นผู้ร่าง โดยใช้เสียงข้างมากลากไป โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอำนาจชิงความได้เปรียบ หากพลาดพลั้ง คุมเกมไม่ได้ ย่อมเปิดช่องให้ล้มกระดานร่างพิมพ์เขียวฉบับใหม่ ทำให้เสียงบประมาณในการจัดทำ โดยโยนความผิดให้แก่รัฐธรรมนูญ 2560 อ้างว่า แก้ยาก

เป้าหมายเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “ยังไม่แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่” เพราะรัฐธรรมนูญฉบับแก้ยาก วางกับดัก หลุมพราง ไว้รอบด้านเป็นหลุมพราง

เนื่องในโอกาสครบรอบ 93 ปี “รัฐธรรมนูญ” และ “ระบบรัฐสภา” เป็นตัววัดระดับประชาธิปไตยของไทย ทั้งในประชาธิปไตยในเนื้อหาและในรูปแบบความเสถียรภาพของรัฐบาลจะเข้มแข็งหรือไม่ เกิดจาก “กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง” แย่งชิงอำนาจเป็นหลัก เห็นได้จาก 

ขณะนี้เกิดภาวะสู้รบปัญหาขายแดนไทย-กัมพูชา ประชาชนเรือนแสนชายแดนอพยพหนีภัย แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ผู้นำประเทศ สวมหมวกสองใบ หัวหน้าพรรคภูมิไจไทย ยังเดินหน้าเปิดตัวผู้สมัคร สส.เขต โดยมุ่งถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ที่ชิงความได้เปรียบรวบรวมบ้านใหญ่ในมือเพื่อรวบรวมเสียงอันดับ 1 แต่ในแง่การเมือง อำนาจในการกำหนดให้พรรคการเมืองใดชนะเลือกตั้ง เป็นเสียงของ “ประชาชน” ตัวชี้ขาด มิใช่ เกิดจาก “พรรครัฐบาลใช้พลังดูดบ้านใหญ่” ให้ได้เสียงมากสุด

ในการจัดทำรัฐธรรมนูญ แม้ สสร. จากภาคประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการร่างพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

 

 แต่ในกระบวนการจัดทำประชามติถึง 3 ครั้ง เป็นหลักประกันที่ประชาชนเจ้าของอำนาจผู้สถาปนารัฐธรรมนูญจะ “เห็นชอบ” กับร่างพิมพ์เขียวรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ แต่การร่างและออกแบบเป็นไปตามธงของผู้มีอำนาจและอาจล้มกระดานได้ โดยไร้หลักประกัน เกมอำนาจหลักอยู่ที่ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม”