“ไทย-กัมพูชา”เห็นพ้องสร้างรั้วพรมแดนจันทบุรี-ตราด ระยะทาง 8 กม.
“ไทย-กัมพูชา”เห็นพ้องสร้างรั้วพรมแดนจันทบุรี–ตราด ระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร ภายใต้กองทุนหทัยทิพย์ มูลนิธิจุฬาภรณ์ เดินหน้าปักหลักเขต 52–59
KEY
POINTS
- ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องร่วมกันในการสร้างรั้วพรมแดน ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรีและตราด
- โครงการสร้างรั้วดังกล่าวมีระยะทางรวมกว่า 8 กิโลเมตร โดยจะครอบคลุมพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ 52–59
- คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามรับรองเอกสารทางเทคนิคแล้ว และเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนการสำรวจเพื่อติดตั้งหลักเขตชั่วคราวต่อไป
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าโครงการสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี (ฉก.นย.จันทบุรี) ภายใต้การกำกับของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ล่าสุด คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) ได้เปิดหนังสือข้อตกลงร่วม เห็นพ้องดำเนินการสร้างรั้วพรมแดนระหว่างหลักเขตที่ 52–59 รวมระยะทางกว่า 8 กิโลเมตร
ฝ่ายไทยนำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย หัวหน้าคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ได้ลงนามรับรองเอกสารทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) เพื่อใช้ในการสำรวจและติดตั้งหลักเขตแดนชั่วคราว ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้พิจารณาและรับรองเอกสารดังกล่าวแล้ว ถือเป็นการดำเนินงานครบขั้นตอนที่ 1–2 ของโครงการ
ในขั้นตอนต่อไป ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการสำรวจแนวเขตแดนจริงและติดตั้งหลักเขตชั่วคราว ซึ่งได้กำหนดเวลาลงพื้นที่ร่วมกันในเร็ว ๆ นี้ โดย นายประศาสน์ เตรียมเดินทางลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าด้วยตนเอง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ชุดสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา ได้ประชุมหารือที่ด่านผ่านแดนถาวรช่องโดง อำเภอก็อมเรียง จังหวัดพระตะบอง ประเทศกัมพูชา โดยมี พ.อ.ยุทธพล สุจริต แม่กองสนามฝ่ายไทย และ นายพรมเซือน วัฒนะ แม่กองสนามฝ่ายกัมพูชา เป็นผู้ร่วมลงนามในคำแนะนำทางเทคนิค
พร้อมด้วยผู้แทนจากทั้งสองประเทศเข้าร่วม อาทิ น.อ.ปรัชญา หาญเทียม ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี, น.อ.แทน ทองรับแก้ว รองผู้บังคับหน่วย, น.อ.วีระเชษฐ์ ขยันทำ หัวหน้าชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธิน 2 และ นายสิทธินนทร์ เชียรชีระสกุล กำนันตำบลเทพนิมิตร
สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการมีความพร้อมแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนหทัยทิพย์ ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศในพื้นที่ชายแดนตะวันออกของไทย