'ดร.ณัฏฐ์' ชี้ ข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา หากแตะเขตแดน ต้องผ่านรัฐสภา

25 ต.ค. 2568 | 03:45 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ต.ค. 2568 | 04:29 น.

“ดร.ณัฏฐ์” เตือน ข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา ต่อหน้า “โดนัลด์ ทรัมป์” ต้องโปร่งใส หากมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเสียดินแดน ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

KEY

POINTS

  • ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ชี้ว่าข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา หากมีเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงอาณาเขตของไทย จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178
  • นอกจากเรื่องอาณาเขต หากข้อตกลงมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้า หรือการลงทุนของประเทศ ก็จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาเช่นกัน
  • แม้นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจลงนามในข้อตกลง แต่จะยังไม่มีผลผูกพันประเทศไทยจนกว่าจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา หากเนื้อหาเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

สืบเนื่องจากประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ได้จัดให้มีพิธีลงนามระหว่างไทยกัมพูชาในระดับทวิภาคี โดยนาย ดาโต๊ะ ชริ อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยาน ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า ข้อที่ตกลงสันติภาพ มีเนื้อหาอย่างไร ไทยเสียดินแดนหรือไม่นั้น

​ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนชื่อดัง ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ข้อตกลงระหว่างไทยกัมพูชาที่ลงนามเพื่อสันติภาพระหว่างไทย – กัมพูชา ที่เรียกว่า Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Combodia And the Prime Minister of the Kingdom of Thailand หรือว่าด้วยแนวทางการดำเนินนโยบายการบริหารจัดการชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อนำไปสู่ความสงบเรียบร้อยของสองประเทศ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยนาย ดาโต๊ะ ชริ อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยาน นั้น จะต้องไปดูรายละเอียดเนื้อหาในข้อตกลงซ่อนอะไรไว้บ้าง โดยมีเนื้อหาในข้อตกลงสันติภาพเป็นอย่างไร ทำให้ปัญหาข้อขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาในทางปฏิบัติได้ยุติจริงหรือไม่ หรือว่าไปแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียง กลเกมสับขาหลอกเพื่อให้ฝ่ายไทยหลงกลฝ่ายกัมพูชาให้เปิดด่านชายแดนเท่านั้น

เพราะการปิดด่าน ธุรกิจบ่อนกาสิโน สแกมเมอร์ แก๊งค์อาชญากรรมข้ามชาติได้รับผลกระทบมากกว่าการค้าขายบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา

ดร.ณัฏฐ์ หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน

​การลงนามในระดับทวิภาคี หมายถึง การลงนามเพื่อให้มีผลผูกพันระหว่างรัฐหนึ่งกับรัฐอีกฝ่ายหนึ่งให้มีผลผูกพันระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ความมั่นคงระหว่างประเทศ และการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างประเทศ ก็ได้

​หากพูดภาษาชาวบ้าน คือ การลงนามสันติภาพ เป็นความจริงใจในการแก้ปัญหาชายแดนร่วมกันทั้งสองประเทศเพื่อให้จบปัญหาโดยเร็ว จึงใช้เวทีประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ให้คนกลางมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ร่วมกันเป็นสักขีพยาน จะได้มีน้ำหนัก

​แต่การลงนามมีผลผูกพันประเทศไทยเพียงใด มิใช่ว่าจะกระทำได้ตามอำเภอใจ ต้องพิจารณาตามกฎหมายมหาชนระหว่างประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึกและสัญญาอื่นใดกับนานาประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

แต่เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในระบบรัฐสภาเป็นฝ่ายบริหารไปลงนามในฐานะผู้นำประเทศ ย่อมมีอำนาจลงนามแทนรัฐได้เพราะกระทำในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารและมีอำนาจเต็ม แต่ต้องพิจารณาว่า ข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับดังกล่าว มีเนื้อหา เพียงใด จะเหมือนกับ MOU 43/44 หรือไม่  หากหนังสือสัญญาสันติภาพ มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออก พรบ.เพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาและอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของ “รัฐสภา”

ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 178 วรรคสองและวรรคสาม

​พูดภาษาชาวบ้านว่า การลงนามสันติภาพระหว่างไทยกัมพูชาที่มาเลเซียต่อหน้า ปธ.ทรัมป์ นายอนุทิน สามารถกระทำได้ แต่ต้องดูเนื้อหาที่ไปลงนาม มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือผลกระทบต่อความมั่งคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางหรือไม่  หากเนื้อหาไปพัวพัน ต้องนำข้อตกลงสันติภาพ ไปขอความเห็นจากรัฐสภาอีกครั้ง เมื่อรัฐสภาเห็นชอบ ถึงจะมีผลผูกพันประเทศไทย หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ทำให้ข้อตกลงนั้นตกไป หรือสิ้นผลไป

​แต่โดยหลักข้อตกลงสันติภาพ จะมีเนื้อหาเพียงสงบศึกกันชั่วคราว ร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน ไม่ท้ารบกันอีกต่อไป แต่จะเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
​หลักเกณฑ์ในการสงวนอำนาจไว้ในการทำสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก ได้บัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้หลายฉบับ เป็นการให้พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง

แต่ในรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ได้บัญญัติเพิ่ม ได้แก่ หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออก พรบ.เพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาและสัญญาอื่นใดที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม การค้า การลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง เช่น สัญญาการค้าเสรี  เขตศุลกากรร่วม หรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วนหรือหนังสือสัญญาอื่นใดที่กฎหมายบัญญัติ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

​เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบรัฐสภาให้ฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบฝ่ายบริหารในเรื่องสัญญาหรือข้อตกลงอื่นใดที่จะผูกพันรัฐที่ทำให้รัฐเสียดินแดน เสียประโยชน์ ในอดีตสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมกับญี่ปุ่นหรือฝ่ายอักษะ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ทำให้ตกเป็นโมฆะ ทำให้ประเทศไทยพ้นจากเชลยศึกและรับผิดชอบค่าปฏิกรรมสงคราม ตามมาตรา 231 แห่งสนธิสัญญาแวร์ซาย