KEY
POINTS
เป็นไปตามคาด ที่ประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้มีมติเลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้เป็นหัวหน้าพรรค ครั้งที่ 3 และเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 10 ด้วยคะแนนท่วมท้น ร้อยละ 96.18
การกลับมานั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่ 3 ของ นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้เป็นเพียงการ “คืนเวทีการเมือง” ของอดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลุกพลัง “พรรคสีฟ้า" ที่หลับใหล ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังผ่านช่วงเวลายากลำบากของพรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศกว่า 77 ปี
เส้นทางชีวิตและการศึกษา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 (ปัจจุบันอายุ 61 ปี) ที่เมืองนิวคาสเซิล สหราชอาณาจักร เป็นบุตรของ นายอรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตอธิบดีกรมอนามัย และ นางสดใส เวชชาชีวะ อดีตอาจารย์แพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สกุล “เวชชาชีวะ” มีเชื้อสายจีนและสืบตระกูลข้าราชการสายแพทย์
อภิสิทธิ์ เติบโตในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา ได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนอีตัน (Eton College) โรงเรียนชั้นนำของอังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันผลิตนายกรัฐมนตรีและผู้นำอังกฤษหลายคน
จากนั้นสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขา Philosophy, Politics and Economics (PPE) จาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ (M.Phil in Economics) ที่สถาบันเดียวกัน
หลังสำเร็จการศึกษา อภิสิทธิ์ กลับประเทศไทย ในช่วงทศวรรษ 2530 และเริ่มชีวิตราชการเป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนเข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัว ในปี 2535
ดาวรุ่งประชาธิปัตย์
อภิสิทธิ์ ก้าวเข้าสู่การเมืองในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) เขตพระนคร-ดุสิต กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2535 (สมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน) และกลายเป็น “ดาวรุ่งรุ่นใหม่” ที่ได้รับการจับตาทันที ด้วยภาพลักษณ์นักการเมืองมือสะอาด พูดจาเฉียบคม และมีแนวคิดเสรีประชาธิปไตย
ในช่วง รัฐบาลชวน หลีกภัย เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะมีอายุเพียง 34 ปี นับเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้น และถูกยกย่องว่าเป็น “เลือดใหม่แห่งอนาคต” ของพรรคประชาธิปัตย์
เส้นทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หลังพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้งหลายครั้ง อภิสิทธิ์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 7 เมื่อปี 2548 และนำพรรคเข้าสู่สนามเลือกตั้งปี 2550 ซึ่งพรรคได้ 165 ที่นั่ง เป็นพรรคอันดับสองรองจากพรรคพลังประชาชน
แต่จากการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองภายหลังการยุบพรรคไทยรักไทย และ พลังประชาชน ปี 2551 ทำให้ อภิสิทธิ์ ได้รับเสียงสนับสนุนจาก สส.หลายกลุ่มในสภา และได้รับเลือกจากที่ประชุมสภาให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทย ขณะมีอายุเพียง 44 ปี ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในรอบกว่า 60 ปี
ระหว่างดำรงตำแหน่ง (2551-2554) อภิสิทธิ์ ต้องเผชิญวิกฤติการเมืองครั้งใหญ่ ทั้งการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง, ปัญหาความแตกแยกทางการเมือง, และความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้
อย่างไรก็ตาม อภิสิทธิ์ ได้รับการยอมรับในด้านการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจช่วงวิกฤติการเงินโลก ปี 2551-2552 ด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน “เช็คช่วยชาติ” และโครงการไทยเข้มแข็ง
เว้นวรรค-แต่ไม่หายไปจากการเมือง
หลังแพ้การเลือกตั้งปี 2554 ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย อภิสิทธิ์ยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อจนถึงปี 2562 ก่อนประกาศลาออก หลังผลเลือกตั้งที่พรรคได้เพียง 52 ที่นั่ง ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ของพรรค
จากนั้นได้วางมือจากตำแหน่งทางการเมืองชั่วคราว หันไปทำงานด้านการศึกษา การบรรยายเชิงนโยบาย และกิจกรรมเพื่อสังคม แต่ยังคงเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และให้ความเห็นทางการเมืองในหลายประเด็นสำคัญอยู่เป็นระยะ
2568 คืนบัลลังก์หัวหน้าพรรค
วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์มีมติ ร้อยละ 96.18 เสียง สนับสนุนให้อภิสิทธิ์ กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ถือเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 10 และเป็นครั้งที่ 3 ในชีวิตทางการเมือง
การกลับมาครั้งนี้ มาพร้อมสัญญาณ “ยกเครื่อง ปชป.” ทั้งการเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ เช่น ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง, นางการดี เลียวไพโรจน์, และ นายวีระพงษ์ ประภา เข้ามาเสริมทีม รวมถึงอดีตแกนนำอย่าง สาทิตย์ วงหนองเตย, กรณ์ จาติกวณิช, และ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่กลับมาร่วมอุดมการณ์อีกครั้ง
วิสัยทัศน์และแนวทางทางการเมือง
อภิสิทธิ์ ย้ำเสมอว่า เขาเชื่อมั่นใน “ประชาธิปไตยที่มีหลักการ” และ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” โดยมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ควรยืนอยู่ตรงกลางระหว่างอุดมการณ์เสรีนิยมและสังคมประชาธิปไตย
แนวนโยบายที่เขาเน้นคือ การกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการเมือง ให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมมากขึ้น พร้อมปฏิเสธ “การเมืองแบบพึ่งอำนาจพิเศษ”
จากคนรุ่นใหม่สู่รุ่นเก่า-แต่ไม่หมดไฟ
กว่า 30 ปีบนเส้นทางการเมือง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผ่านทั้งจุดสูงสุดในฐานะนายกรัฐมนตรี และจุดต่ำสุดเมื่อพรรคตกต่ำสุดในประวัติศาสตร์ แต่เขายังคงยืนหยัดในหลักการทางการเมืองเดิมที่ว่า
“อำนาจต้องมาจากประชาชน และเพื่อประชาชนเท่านั้น”
การกลับมาครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การคืนตำแหน่ง หากแต่เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังมีพื้นที่ให้ “คนที่ยังไฟ” อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ของพรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศ...
รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง ฐานเศรษฐกิจ