KEY
POINTS
การเมืองเปลี่ยน รัฐบาลใหม่เข้ามา บทบาทการบริหารงานในองค์กรขนาดใหญ่ของรัฐ ย่อมถูกจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และรัฐวิสาหกิจสำคัญอื่น ๆ ที่ดูแลการขับเคลื่อนของประเทศ
ทั้งนี้ภายใต้การบริหารรัฐบาลของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางกระแสการจัดสรรโควตาและอำนาจใหม่ ๆ ได้มีรายงานความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในคณะกรรมการ (บอร์ด) รัฐวิสาหกิจหลายแห่ง โดยเฉพาะในกลุ่ม ปตท. ที่มีการ “ไล่รื้อ” บอร์ด เพื่อวางตัวผู้บริหารที่มีความใกล้ชิดหรือเป็นที่ไว้วางใจให้เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยมีการขยับโยกย้ายบุคคลสำคัญหลายรายอย่างมีนัยสำคัญ
ล่าสุดในการปรับเปลี่ยนบอร์ดปตท. มีกระแสว่า จะมีการโยกย้ายนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท. (PTT) ไปเป็นประธานบอร์ดบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. แทนนายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย ประธานกรรมการ ที่จะครบวาระ ซึ่งการโยกย้ายครั้งนี้ถูกมองว่า เป็นการเปิดทางให้แก่คนใหม่เข้ามากำกับดูแลปตท. โดยเฉพาะการผลักดันให้นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะกรรมการอิสระ ขึ้นเป็นประธานบอร์ดปตท. เพื่อกำกับดูแลนโยบายด้านพลังงานของประเทศแทน
นอกจากนี้ ได้รับการยืนยันว่า มีการส่งสัญญาให้กรรมการในบอร์ด ปตท.ลาออก อย่าง ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองกรรมการอิสระ/กรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เพื่อเปิดทางกรรมการท่านอื่นเข้ามานั่งแทน
การถูกถอดถอน ดร.ณัฐพล ออกจากบอร์ด ปตท. ครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการล้างไพ่คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามวาระเปลี่ยนผ่านทางการเมืองอย่างชัดเจน เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่สามารถจัดวางบุคลากร ที่ได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจปัจจุบันเข้ามานั่งในตำแหน่งที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของชาติได้
ที่เห็นภาพชัดเจนยิ่งไปกว่านั้น มีกระแสข่าวจะมีการถอดถอน นายวิม รุ่งวัฒนจินดา ออกจากบอร์ดหลายแห่ง จากที่นั่งเป็นกรรมการ ในบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC บริษัทลูกของปตท. การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ซึ่งถูกมองว่าเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิม
อีกทั้ง มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อ นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสจำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้ลาออกจากการเป็นประธานกรรมการ บริษัท ปตท.ค้าปลีกและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ เพื่อเปิดทางให้มีการสรรหาบุคคลอื่นมานั่งในตำแหน่งแทนแล้ว
สำหรับการปรับเปลี่ยนบอร์ดของกลุ่มปตท.ครั้งนี้ เพื่อต้องการสรรหาบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญ และสามารถผลักดันการทำงานให้สอดคล้องกับนโบบายของรัฐบาล และสามารถกำกับดูแลนโยบายด้านพลังงานของประเทศ สร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มปตท.มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแนวทางในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ รับการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและพลังงานสะอาด ตามกลยุทธ์ที่ปตท.กำลังขับเคลื่อนไป
“การแต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่ เป็นการส่งสัญญาณว่ากลุ่ม ปตท. จะเร่งผลักดันกลยุทธ์ ธุรกิจใหม่ และความยั่งยืนอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวจากบริษัทพลังงานดั้งเดิมไปสู่บริษัทพลังงานแห่งอนาคตและเทคโนโลยีในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน”
นอกจากนี้ กระแสการปลดบอร์ดขยายวงกว้างไปยังรัฐวิสาหกิจสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคม อย่าง AOT ที่นอกจากนายวิมแล้ว ยังมี นายธีรัชย์ อัตนวานิช กรรมการบอร์ดที่ได้ลาออกไปก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา
การรื้อบอร์ด AOT ครั้งนี้ มีกระแสว่าทางกระทรวงคมนาคม ต้องการเข้ามาเร่งผลักดันแผนขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ตามปริมาณการเติบโตของผู้โดยสาร โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเร่งก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก (East Expansion) วงเงินลงทุนราว 1.3 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2573 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถจากปัจจุบัน 65 ล้านคนต่อปี เป็น 80 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ AOT ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยนอกจากเดินหน้าสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกแล้ว จะดำเนินการควบคู่กับการเริ่มดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านทิศใต้ ประกอบด้วย อาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) เพิ่มพื้นที่อาคารหลักประมาณ 4 แสนตารางเมตร รองรับผู้โดยสารได้อีก 70 ล้านคนต่อปี และทางวิ่งเส้นที่ 4 (4th Runway) เพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินจาก 3 รันเวย์ในปัจจุบันที่ 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เป็น 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
ที่สำคัญการปรับปรับเปลี่ยนบอร์ดของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีกระแสปลดเกือบจะทั้งชุด จากคณะกรรมการที่มีอยู่ 7 คน จากการเปลี่ยนขั้วอำนาจในกระทรวงคมนาคม โดยกรรมการที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ได้แก่ นายอารีศักดิ์ เสถียรภาพอยุทธ์, นายศันสนะ สุริยะโยธิน, นายวิม รุ่งวัฒนจินดา และนายอาทิตย์ สุริยาภิวัฒน์ สะท้อนถึงการกวาดล้างผู้มีบทบาทจากขั้วอำนาจเก่าอย่างชัดเจน ซึ่งรวมไปถึงนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรฟท.ในฐานะกรรมการและเลขานุการ ที่ถูกบีบให้ลาออกไปก่อนหน้านี้ด้วย
แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ปัจจุบันนายวีริศ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่มีการลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2567 โดยนายวีริศได้เริ่มทำงานเพียง 1 ปี ซึ่งคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.ได้รับทราบหนังสือลาออกของนายวีริศเรียบร้อยแล้ว
การลาออกอย่างกะทันหันของนายวีริศ คาดว่ามาจากนายวีริศได้ลงนามในหนังสือเลขที่ รฟ.อบ. 1000/1792/2568 ลงวันที่ 29 ก.ย.2568 สำนักงานอาณาบาล ฟ้องเพิกถอนหรือฟ้องขับไล่ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 บริเวณแยกเขากระโดง ตำบนอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามหนังสือที่ ปช 0040 (บร)/1542 ลงวันที่ 12 ก.ย. 2568
ทั้งนี้ พบว่าที่ดินทั้งสองแปลงที่ รฟท.จะดำเนินการฟ้องขับไล่ เบื้องต้นเป็นที่ดินอยู่ในการครอบครองของนางกรุณา ชิดชอบ (ภรรยานายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด) 1 แปลงและบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด 1 แปลง อีกทั้งการลาออกในครั้งนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมาจากพรรคภูมิใจไทย
ภายหลังจากผู้ว่ารฟท.ยื่นหนังสือลาออก ได้มีความเคลื่อนไหวของคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามา เบื้องต้นได้แจ้งในที่ประชุมรฟท.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หากมีการประกาศเปลี่ยนแปลงกรรมการก็พร้อมจะลาออกทันทีเพื่อเปิดทางให้คนใหม่เข้ามา
ทั้งนี้ รฟท.ถือเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาหลายโครงการ โดยมีโครงการเร่งด่วนจำนวน 7 โครงการ วงเงินรวม 691,464 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงชุมพร–สุราษฎร์ธานี วงเงิน 30,422 ล้านบาท 2.โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงสุราษฎร์ธานี–หาดใหญ่-สงขลา วงเงิน 66,270 ล้านบาท
3.โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 หาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ วงเงิน 7,772 ล้านบาท 4.โครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วงเงิน 6,473 ล้านบาท 5.โครงการรถไฟส่วนต่อขยายสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช-ศาลายา วงเงิน 15,176 ล้านบาท
6.โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงนครราชสีมา-หนองคายระยะที่ 2 (ไฮสปีดไทย-จีน ) วงเงิน 341,351 ล้านบาท และ 7.โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงิน 2.24 แสนล้าน
นอกจาก การปรับเปลี่ยนบอร์ดรัฐวิสาหกิจแล้ว ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 14 ตุลาคม คาดว่าแต่ละกระทรวง จะมีการเสนอชื่อโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการระดับซี 10 หรือระดับอธิบดีกรมแหล่งตำแหน่ง รวมไปถึงการสับเปลี่ยนหรือโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด และในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธัวาคม ให้จับตาจะมีการโยกย้ายและแต่งตั้งข้าราชการปลัดอำเภอและนายอำเภอทั่วประเทศตามมาอีกระลอกด้วย หลังจากที่การประชุมครม.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงไปแล้วหลายตำแหน่ง