'อนุทิน' ฟาด 'จิราพร' เล่นวาทกรรม แฉ อิ๊งค์แอบคุยกัมพูชาปลดมท.1

30 ก.ย. 2568 | 04:53 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2568 | 05:01 น.

นายกฯ ‘อนุทิน’ ฟาด ‘จิราพร’ เล่นวาทกรรม หลังอภิปรายมีข้อตกลงลับกับผู้นำกัมพูชา ย้อนความหลังถูกปลดมท. 1 นายกฯอิ๊งค์แอบคุยกัมพูชาก่อน ปัดผู้ต้องหา แค่เป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ปมฮั๊วสว.

วันนี้ (30 กันยายน 2568) ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลุกขึ้นชี้แจงการอภิปรายของ น.ส.จิราพร สินธุไพร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการพาดพิงในหลายประเด็น โดยกล่าวก่อนว่า ต้องขอชี้แจงทีละประเด็น เพราะเป็นการใช้วาทกรรม ที่ผ่านมาเคยชื่นชมน.ส.จิราพร มาตลอดว่า เวลาชี้แจงต่อรัฐสภาพูดความจริงแล้วดูน่าเชื่อถือมาก แต่เวลาพูดความเท็จ มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านขาดความมั่นใจ

สำหรับประเด็นแรกกรณีการกล่าวหาว่า รู้อะไรกับผู้นำของกัมพูชา หลังผู้นำกัมพูชาเคยกล่าวไว้ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลไทยใน 3 เดือน นายอนุทิน ยืนยันว่า ตัวเองไม่รู้จักผู้นำกัมพูชาในทางส่วนตัวเลยสักคนเดียว โดยเพิ่งเคยพบกับสมเด็จฮุน เซน ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เพราะได้ติดตามนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และก็ไม่ได้มีการตกลงอะไรเบื้องหลังกันมาก่อน 

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนยังรู้สึกตกใจด้วยซ้ำ ว่าเมื่อกลับจากเยือนกัมพูชากับนายกฯ มีเพื่อนที่รู้จักกันโทรมาบอกว่ารู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปในที่ประชุมหลาย เขาไปแจ้งผู้นำว่า ไม่ต้องคุยกับคุณมากหรอก เขาจะปลดคุณออกจากมท.1 อยู่แล้ว นี่คือข้อมูลที่ได้รับทราบมา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะว่าข้อมูลเชื่อมากที่สุด ก็ต้องเป็นข้อมูลที่ผมต้องได้รับแจ้งจากนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ก็คือนายกฯแพทองธาร ชินวัตร

"เต็มที่ที่นั่น ก็มีแค่เพื่อนที่รู้จักกัน แล้วก็ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เฟรนช์ และไม่เคยได้พูดถึงเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน หรือการเสนอแนะอะไรที่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว"

"แต่ในที่สุดวันหนึ่งก็ได้รับการแจ้ง เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ก็ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการว่า พรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้ผมไปเป็นรมว.สาธารณสุข เลยกราบเรียนไปว่า ถ้าแบบนี้มันก็เปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอที่ท่านต้องการให้ผมปฏิเสธ และพูดตรง ๆ เลยว่า จะให้ผมออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่ก็ดี ท่านรักษามารยาทมาก ท่านบอกว่าไม่ใช่อยากให้อยู่ แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทย ต้องไปอยู่สาธารณสุข"

นายอนุทิน เล่าว่า ได้สอบถามต่อนายกฯว่า แล้วทำไมถึงต้องให้ไปอยู่สาธารณสุข หรือทำอะไรผิดหรือ เพราะตนเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในคณะรัฐบาลของนายกฯ ที่ยืนอยู่เคียงข้างท่านนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้าย ๆ ยังปกป้องให้ข้อเท็จจริงเมื่อนายกฯ ถูกกล่าวหา และนายกฯ ก็ทราบดี แต่คำตอบที่ได้รับคือ ใกล้เลือกตั้งแล้ว เพื่อไทยต้องได้มหาดไทย" 

ทั้งนี้ จึงตอบกลับไปว่า “อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเชื่อว่าการได้กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยไปแล้ว ท่านจะชนะเลือกตั้ง พ่อผมก็เคยเป็นรมว.มหาดไทยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นทั้ง 2 ปีกว่า ตอนเลือกตั้งก็แพ้พรรคเพื่อไทยราบคาบในปี 2554 ทำไมท่านคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่มีคำตอบ คำตอบก็คือจะเอามหาดไทยคืน แต่เชื่อว่านายกฯ ไม่ได้พูดจากความต้องการในใจของท่านเอง ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด เพราะในที่สุดเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก็ได้มายืนยันว่า ไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข"

จากนั้นน.ส.จิราพร ได้ลุกขึ้นประท้วงนายกฯ โดยระบุว่ากำลังเล่าซีนดราม่ากับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในรัฐสภา ทำให้นายกฯ โต้สวนขึ้นมาทันทีว่า ไม่ได้เล่าซีนดรามา และขอหย่ามาบอกว่าเป็นดราม่า เพราะตนอยู่ตรงนั้นเอามายืนยันกันเลยก็ได้ และท่านไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนั้น ต่อมานายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สมาชิกรัฐสภา ได้ประท้วงน.ส.จิราพร โดยชี้แจงต่อประธานว่า นายกฯกำลังตอบข้อซักถาม ที่น.ส.จิราพร ถามนายกฯ เอง ละนายกฯ ก็กำลังอธิบาย จากนั้นประธานจึงได้ให้นายกฯ ชี้แจงต่อ

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สุดท้ายตนก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่งโดยเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมาหาถึงกระทรวงมหาดไทย แล้วก็บอกว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไพ่ใบสุดท้าย ซึ่งวันนั้นก็คือวันที่ได้ฝากไปกราบเรียนนายกฯว่า พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัว ซึ่งหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา บังเอิญที่มีเรื่องคลิปเสียงออกมาพอดี ซึ่งก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยก็ยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจว่าถึงเวลาที่เราต้องถอนตัวแล้ว

"ไม่ใช่เฉพาะถอนตัวเฉพาะว่าเขาเชิญออกจากรัฐบาลเพราะว่าต้องการกระทรวงมหาดไทย แต่ว่าเมื่อมีเรื่องของคลิปเสียงแล้ว มันเป็นเรื่องของบ้านเมือง มันเป็นเรื่องของสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยเห็นว่าอันนี้มีความเสียหาย และรัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศ เป็นเรื่องที่ไม่ควรบังเกิดขึ้นในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่กำลังบริหารประเทศอยู่ นั่นคือเหตุผลที่เราถอนตัวออกมา ไม่มีเหตุอื่น"

การจัดตั้งรัฐบาลใหม่และ MOA

นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อถอนตัวออกมาแล้ว สัปดาห์ถัดไป ก็มารายงานตัวกับผู้นำฝ่ายค้านในฐานะที่จะมาเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน แล้วก็บอกว่าขอมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกับทางพรรคประชาชน ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย และเมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็คุย และเห็นว่ารัฐบาลในฐานะที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่น่าจะไม่ไหวแล้ว พี่น้องประชาชนขาดความเชื่อมั่น เกียรติภูมิอธิปไตยของประเทศได้รับความเสียหาย ดีที่สุดพยายามให้ท่านยุบสภาดีกว่า ด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม"

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการร้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกฯแพทองธาร ก็ได้ถูกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อมีการยุติการปฏิบัติหน้าที่พวกเราก็เชื่อว่า ไม่มีคนยุบสภา เราก็ได้คุยกับทางพรรคประชาชนว่า ถ้าแบบนี้ทำยังไงให้เกิดการยุบสภาขึ้น พรรคประชาชนเองก็ไม่มีแคนดิเดตนายก เราก็พยายามที่จะหาวิธีที่จะคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชนได้มากที่สุด จึงเป็นที่มาของ MOA

แจงรายละเอียด MOA

นายกฯ อธิบายว่า การจัดทำ MOA ก็ไม่ได้พิสดารอะไรเลย และไม่ได้แอบเซ็นกันในห้องผู้นำฝ่ายค้าน โดยผู้นำฝ่ายค้านได้ลงนามก่อน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเห็นแล้วว่าเงื่อนไขของ MOA ทั้งหมดเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ประเทศไทยมีทางออก และประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ โดยมีเงื่อนไขคือต้องยอมรับความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ยุบสภาภายใน 4 เดือน และเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นคือสิ่งที่กำหนดใน MOA และพรรคภูมิใจไทยทำตามวิธีการใดๆ ที่จะเป็นการทำให้เกิดเสียงข้างมากในพรรคภูมิใจไทย

"MOA เป็น MOA ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ไม่ได้ผูกพันทั้งรัฐบาล แต่พรรคภูมิใจไทยในเมื่อมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยจะรักษาสัญญา การรักษาสัญญาคืออะไร ก็มาพูดแล้วว่าหลังที่ 1 ตุลาคม นับไป 4 เดือน ก็คือไม่เกิน 31 มกราคม ยุบสภา และจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยได้สส.เพิ่มไหมในการที่จะไปดึงไปดูดสส.จากพรรคพวกท่านเข้ามา ไม่มีเลย มีแต่พรรคภูมิใจไทยถูกดูดจากพรรคพวกท่าน ก็เห็นๆ กันอยู่ โชคดีปรับตัวทัน"

สำหรับ MOA นี้ ยืนยันว่า จะไปบังคับรัฐบาลในเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ แต่ MOA นี้จะกำหนดให้รัฐบาลได้ดำเนินการหลัก ๆ ก็คือเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญและทำการยุบสภา โดยอำนาจของการยุบสภาอยู่ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดังนั้นจึงต้องทำตามข้อตกลงที่มีอยู่แล้ว เพราะเป็นข้อตกลงที่เปิดเผย และพี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบกันหมด และต้องเข้าใจว่าจริงๆ ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังใหม่ๆ ได้มีความวิจิตรพิสดารใด ๆ 

แจงปมเขากระโดง-ฮั๊วสว. ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา

ส่วนกรณีที่อยากให้คำมั่นสัญญาได้ไหมว่าจะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ไปกดดันสั่งการชี้แนะให้ข้าราชการประจำเปลี่ยนแนวทางในการทำเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ อย่างเช่นเรื่องเขากระโดง เรื่องฮั๊วสว. ซึ่งเรื่องนี้ อยู่ที่กกต.อยู่แล้ว และกกต.เป็นผู้ดำเนินการ

"มีแต่รัฐบาลท่านนั่นแหละไปพยายามสั่งให้ดีเอสไอดำเนินการ แล้วมันก็ไปติดที่ข้อกฎหมาย สุดท้ายคนที่ดำเนินการก็คือกกต. ไม่ว่าท่านจะพยายามส่งผู้แทนเข้าไปในขณะกกต.อะไรก็แล้วแต่ท่านก็เชิญเถอะ ทำได้ แต่ว่าทุกอย่างมันก็เป็นไปตามข้อกฎหมาย"

สำหรับเรื่องเขากระโดงก็เหมือนกัน ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็ออกมาแถลงชี้แจงแล้ว โดยเห็นว่ารัฐมนตรีช่วยมหาดไทยของรัฐบาก่อนใจร้อนเอง เพราะเมื่อเข้าไปวันแรกก็บอกวันที่ 2 สิงหาคม จะยึดที่ดิน สุดท้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ทั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งอธิบดีกรมที่ดินที่ท่านตั้งเอง การย้ายอธิบดีกรมที่ดินคนเก่าออกไป ก็ไปหาว่าเขาทำอะไรที่เอื้อประโยชน์กับเรื่องเขากระโดง แล้วท่านก็ตั้งคนใหม่เข้ามา

"ทุกคนเข้าแถลงคณะกรรมการที่ท่านตั้งก็แถลงว่ารัฐมนตรีทั้ง 2 ท่านนั้นพูดเร็วเกินไป พูดไม่ตรงกับมติของคณะกรรมการ แล้วท่านก็มาโทษอะไรตน คนที่ใช้อำนาจหน้าที่ที่เป็นกดดันก็คือรัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย 2 ท่านนั้น และตนเพิ่งเข้าไปกระทรวงมหาดไทยเพื่อไปทักทายข้าราชการ ตนยังไม่ได้สั่งการอะไรเลย และไม่มีความกังวลที่จะต้องไปสั่งการ เพราะรู้เรื่องดีว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ"

ทั้งนี้ยืนยันว่า ที่ผ่านมาสมัยเป็นรมว.มหาดไทย เคยมีหนังสือไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทย บอกว่าให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ตามกฎหมายทุกอย่าง ตามระเบียบทุกอย่าง ไม่ต้องละเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม ส่วนกระทรวงคมนาคมก็เช่นกัน วันนี้เห็นข่าวว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย จะเร่งฟ้องเป็นรายแปลง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ต้องการเลย เพราะไม่อยากให้ฟ้องเหมารวม แบบไหนถูกก็ต้องคืนความเป็นธรรมให้เขา 

"ตนจะไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรมว.มหาดไทย หรือในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงในรัฐบาลนี้ให้ไปช่วยเหลือใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นขอให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินการเรื่องนี้เป็นอันขาด แล้วก็อีกอย่าง ตนไม่ได้เป็นผู้ต้องหา และยังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย แล้วก็ให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ และอยากให้เรียกอธิบดีดีเอสไอมาแจ้งตรงนี้ และให้ถามว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือเปล่า เพราะตนเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา ถ้าผมผิด มันมีกระบวนการที่จะลงโทษอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และขอให้ถอนคำพูดเหล่านี้ว่าตนและสว.เป็นผู้ต้องหา เป็นคำพูดที่ผิด” 

ไม่มีชี้นำแก้รัฐธรรมนูญ

ส่วนกรณีให้ตนไปบอกสว.มาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต้องรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้น นายกฯ ระบุว่า ถือว่ากำลังชี้ทางไปนรก เพราะไม่สามารถชี้นำ หรือโน้มน้าวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมไปถึงสมาชิกวุฒิสภาด้วย เพราะเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ โดยให้คำยืนยันว่า ทำไม่ได้เรื่องนี้ เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ใครอยากจะแก้ก็แก้ ใครเห็นด้วยก็แก้ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องแก้ แล้วก็ส่งขึ้นไปสว.เขาก็มีกระบวนการของเขา

ส่วนกรณีการยุบสภา นายกฯ กล่าวว่า 4 เดือนนับจากนี้ คือวันที่ 31 มกราคม ช้าสุดจะยุบสภาแน่ หรือเร็วกว่านั้นถ้ามีความจำเป็นจะต้องยุบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล ไม่เกิน 4 เดือนแน่ และที่บอกว่าจะมีคนมาชี้ชะตาพรรคภูมิใจไทย อยากบอกว่าวานซืนนี้เขาได้ชี้ชะตาแล้วทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยด้วย