ชงรัฐบาลนายกฯอนุทิน ไฟเขียว “คนละครึ่ง” ใช้จ่ายซื้อหนังสือ-อุปกรณ์การเรียน

29 ก.ย. 2568 | 10:11 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ก.ย. 2568 | 10:23 น.

สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือไทยแห่งประเทศไทย ยาหอมรัฐบาลนายกฯอนุทิน เชื่อมั่นศักยภาพ กระตุ้นเศรษฐกิจฟื้น ชงเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่ง” หนุนคนไทยใช้จ่ายซื้อหนังสือ-อุปกรณ์การเรียนได้

KEY

POINTS

  • สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เสนอให้รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นำโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ข้อเสนอสำคัญคือการขยายสิทธิของโครงการ “คนละครึ่ง” ให้สามารถใช้จ่ายเพื่อซื้อหนังสือ สื่อการเรียนการสอน และอุปกรณ์การเรียนได้
  • มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านในสังคม

รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เตรียมนำโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง หลังถูกมองว่าเป็นมาตรการ “ยาแรง” ที่สามารถอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด ไม่เพียงช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน แต่ยังเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SMEs และธุรกิจทุกระดับ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ จึงเสนอให้ขยายสิทธิใช้จ่ายครอบคลุมถึงการซื้อหนังสือและอุปกรณ์การเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการอ่านควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายณัฐกร วุฒิชัยพรกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า สมาคมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีความพร้อมกำหนดแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าอย่างมั่นคง

โดยสมาคมเห็นว่ามาตรการที่จะเกิดผลจริงต้องครอบคลุม  ตรงเป้าและเห็นผลชัดเจน ไม่เพียงช่วยผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และธุรกิจทุกระดับ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้  เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ

สมาคมจึงขอเสนอแนวคิดในการส่งเสริมและสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้

1. ส่งเสริมให้เกิดโครงการ “คนละครึ่ง” สมาคมเห็นว่ามาตรการ “คนละครึ่ง” จะเป็น “ยาแรง” ที่ช่วยอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเป็นกลไกในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและกระจายรายได้ และเพื่อส่งเสริมด้านการอ่านต่อสังคม ควรกำหนดให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” สามารถใช้จ่ายซื้อหนังสือ สื่อการเรียนการสอน ตลอดจนอุปกรณ์การเรียน ได้

ชงรัฐบาลนายกฯอนุทิน ไฟเขียว “คนละครึ่ง” ใช้จ่ายซื้อหนังสือ-อุปกรณ์การเรียน

2. โครงการ “Easy e-Receipt” ช้อปลดหย่อนภาษี เฟส 2 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายช่วงไฮซีซัน สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ลงทะเบียนในระบบ ระยะเวลาโครงการ 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม) โดยปรับเงื่อนไขให้เข้าร่วมสะดวกขึ้น ครอบคลุมหมวดสินค้าทั่วไป สินค้า OTOP หนังสือและอุปกรณ์การเรียนการสอน และสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 แสน ล้านบาท เพิ่มรายได้ให้ร้านค้า และส่งเสริมให้ร้านค้า เข้าสู่ระบบภาษีและระบบดิจิทัลซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

3. โครงการส่งเสริมการจัดซื้อหนังสือสำหรับห้องสมุด เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนสามารถเข้าถึงการอ่านหนังสือได้อย่างเต็มที่ จึงอยากนำเสนอให้รัฐบาลและสถานศึกษา จัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อหนังสือเพื่อให้บริการแก่นักเรียนและผู้ใช้บริการทั่วไปในห้องสมุด ทั้งในสถานศึกษา สถานที่ราชการ หรือจุดอ่านหนังสือของชุมชน เพื่อให้เป็นแหล่งค้นหาความรู้มากขึ้น เพราะหนังสือเป็นรากฐานของภูมิปัญญา

นายณัฐกร กล่าวอีกว่า ผลสำรวจความพึงพอใจของนักอ่านที่เข้าร่วมงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 53 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 23 ในปี 2568 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 4,314 ตัวอย่าง พบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 15-18 ปี นิยมอ่านหนังสือแบบเล่ม แบบเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 86%

ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล

ถัดมาเป็นกลุ่มที่มีอายุ 23-28 ปี สัดส่วน 84% อายุ 12-14 ปี สัดส่วน 83% และกลุ่มอายุ 19-22 ปี และ 29-35 ปี สัดส่วน 82% เท่ากัน ขณะเดียวกันจะเห็นว่าการอ่านหนังสือแบบรายตอนผ่านแอพพลิเคชั่น/เว็บไซต์ เริ่มมีกลุ่มเด็กลง คืออายุระหว่าง 12-28 ปีมากขึ้น บ่งชี้ให้เห็นว่า เด็กและเยาวชน ให้ความสนใจเลือกซื้อหนังสือและอ่านหนังสือมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่การสำรวจพฤติกรรมการอ่านและการซื้อหนังสือของคนไทย ในปี 2567 พบว่า คนไทยมีการอ่านหนังสือเฉลี่ย 50.77 นาที/วัน โดยเป็นการอ่านในรูปแบบกระดาษ 51.37 นาที/วัน และการอ่านทุกอย่างบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 152.10 นาที/วัน โดยรูปแบบหนังสือที่คนไทยนิยมอ่าน ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ 56.13% หนังสือกระดาษ 26.16% และ หนังสือเสียง 15.76%

“ภาพรวมอุตสาหกรรมหนังสือไทยในปี 2568 มีมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 3.5% ต่อปี  โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1.ปัจจัยทางการเมือง จากนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ที่หนังสือเป็น 1 ใน 11 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  2. ปัจจัยด้านกฎหมาย/กฎระเบียบ 3.ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ที่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้ากระดาษจากต่างประเทศ 4.ปัจจัยด้านสังคม จากวัฒนธรรมการอ่าน ค่านิยมการเรียนรู้  5. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

สมาคมฯ เชื่อมั่นว่า การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชน ตลอดจนคนไทยได้อ่านหนังสือ จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการนำไปใช้ต่อยอดในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการสร้างงานเป็นอาชีพ รวมถึงผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย โดยสมาคมฯ พร้อมสนับสนุนและผลักดันให้มาตรการต่างๆ เหล่านี้ เข้าถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน”