KEY
POINTS
การเมืองไทยกำลังกลับมาจับตา “พรรคประชาธิปัตย์” (ปชป.) อีกครั้ง หลังจาก นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้พรรคต้องเลือกผู้นำใหม่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเมืองไทย
พรรคเก่าแก่ที่มีอายุยืนยาวที่สุดของประเทศ ต้องเผชิญกับโจทย์การฟื้นตัวหลังพ่ายศึกเลือกตั้งปี 2566 จนเหลือเพียง 25 ที่นั่งในสภา
ก่อนหน้านั้น ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรค ปชป. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุม 417 คน ทั้งคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ส.ส. และอดีต ส.ส. รวมถึงตัวแทนสาขาทั่วประเทศ ถูกจับตาเป็นพิเศษ เนื่องจากมีวาระสำคัญในการ “ปฏิรูปข้อบังคับพรรค” เพื่อเปิดเกมสรรหาผู้นำใหม่
ปรับสูตรโหวต-เปิดกว้างคนรุ่นใหม่
จุดเปลี่ยนสำคัญของพรรค คือ การแก้ไขข้อบังคับการเลือกหัวหน้าพรรค และ กก.บห. เดิมใช้สัดส่วนโหวต 70/30 โดย ส.ส. มีน้ำหนัก 70% และโหวตเตอร์จาก 16 กลุ่มมี 30%
แต่ครั้งนี้ ปชป.ปรับใหม่เป็นสูตร 40:40:20
ที่สำคัญ ส.ส.ที่ดำรงตำแหน่ง กก.บห. จะต้องเลือกโหวตเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังเปิดทางให้ “สมาชิกใหม่” สามารถก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญของพรรคได้ หากมีอายุสมาชิกเพียง 2 ปี ไม่จำเป็นต้องรอ 5 ปี เหมือนเดิม ถือเป็นการขยับครั้งใหญ่เพื่อดึงคนรุ่นใหม่เข้าสู่โครงสร้างพรรค
3 ตัวเต็งชิงหัวหน้าพรรค ปชป.
การเปลี่ยนหัวหน้าพรรคครั้งนี้ มี 3 ชื่อใหญ่ที่ถูกพูดถึงอย่างจริงจัง
1.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรค ได้แรงหนุนจาก “กลุ่มนายชวน หลีกภัย - นิพนธ์ บุญญามณี - ส.ส.เก่าที่สอบตกและลาออก - FC รวมถึงสมาชิกรุ่นใหม่”
จุดแข็งของอภิสิทธิ์คือ “ชื่อชั้น” และภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แม้ไม่ใช่สินค้าใหม่ แต่ยังพอขายได้ โดยเฉพาะการยึดฐานเสียงภาคใต้และภาคกลาง
2.กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีคลัง ได้แรงหนุนจาก “กลุ่มส.ส.เก่า กรรมการบริหารพรรค และเครือข่ายกรรมการสาขา” แม้เคยแยกตัวไปตั้งพรรคกล้า แต่กลับมาอีกครั้งพร้อมภาพลักษณ์ด้านเศรษฐกิจและความเป็นมืออาชีพ
3.“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นักธุรกิจหญิงผู้มีบทบาทในวงการกีฬาและสังคม ถูกมองว่าเป็น “แม่เหล็กใหม่” ที่สามารถสร้างความคึกคัก โดยได้รับแรงหนุนจาก “ส.ส.รุ่นใหม่- กรรมการบริหารพรรค และ ส.ก.กทม.” หากได้ลงสนามจริง จะถือเป็นการพลิกเกมทางการเมืองครั้งใหญ่ของพรรค
4 แม่ทัพขับเคลื่อน
ในสมรภูมิชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค ปชป. ครั้งนี้ มี “4 แม่ทัพ” ที่ถูกจับตาว่าเป็นแกนกลางขับเคลื่อน ได้แก่
เดชอิศม์ ขาวทอง
ชัยชนะ เดชเดโช
นราพัฒน์ แก้วทอง
นิพนธ์ บุญญามณี
โดยเฉพาะ เดชอิศม์ เลขาธิการพรรค ที่ส่งสัญญาณชัดผ่านไลน์กลุ่มถึงสมาชิกพรรคว่า “ทุกอย่างมีทางออกเสมอ ขอให้พรรคค่อย ๆ ตรึกตรองร่วมกัน” พร้อมย้ำว่า ตัวเองยังเป็นหลักของพรรค และจะเรียกประชุม ส.ส.ทุกคนเพื่อหาทางออกร่วมกัน
ทำไมปชป.ตกอับ?
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า การที่ ปชป.ร่วงลงมาเหลือเพียง 25 ส.ส. มีเหตุผลสำคัญ 5 ประการ
1.จุดยืนทางการเมืองไม่ชัด
2.กระแสพรรคตกต่ำ ไม่ดึงดูดคนรุ่นใหม่
3.บ้านใหญ่แตกตัว ถูกดูดไปพรรคอื่น
4.ขาดกระสุนทางการเมืองในการต่อสู้
5.เอกภาพภายในพรรคสั่นคลอน
“อภิสิทธิ์”ยังขายได้?
แม้ ปชป.จะเหลือเพียง 25 ที่นั่ง และได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เพียง 9 แสนเสียง ในการเลือกตั้งปี 2566 แต่ย้อนกลับไปยุคที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำทัพสู้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคยังเคยกวาดได้ถึง 50 ที่นั่ง และปาร์ตี้ลิสต์ 4-5 ล้านเสียง (จากที่เคยสูงสุด 12 ล้านเสียงก่อนหน้านั้น)
จุดแข็งของอภิสิทธิ์ คือ “ยังมีทุนความนิยมอยู่” และหากประกอบกับทีมงานใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ อาจเป็นโอกาสในการฟื้นฟูและรวมพลังของพรรค
เสียงสะท้อนคนในพรรค
ชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์เปิดใจว่า “อภิสิทธิ์ เป็นบุคคลที่มีอุดมการณ์ รักษาสัจจะคำพูด และเหมาะสมที่จะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค แต่ทั้ง กรณ์ และมาดามแป้ง ก็มีความเหมาะสมเช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายมีความสามัคคี”
นักวิชาการการเมือง มองว่า “แม้อภิสิทธิ์ได้เปรียบ แต่ลำพังตัวเขาอาจไม่พอ ต้องมีทีมงาน กก.บห. รุ่นใหม่ ที่เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและมีประสบการณ์เพียงพอ”
ทางสองแพร่ง ปชป.
ประชาธิปัตย์กำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่งระหว่าง “การกลับไปพึ่งอดีต” กับ “การสร้างแบรนด์ใหม่” หากเลือก อภิสิทธิ์ พรรคจะได้ผู้นำที่มีบารมีและประสบการณ์ แต่ไม่ใช่แม่เหล็กใหม่
ขณะที่ กรณ์ และ มาดามแป้ง อาจเป็นทางเลือกในการรีแบรนด์ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะดึงคะแนนนิยมกลับมาได้จริง
ศึกชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเลือกตัวบุคคล แต่คือ การกำหนดอนาคตของพรรคเก่าแก่ ว่าจะยืนหยัดต่ออย่างไร ในสมรภูมิการเมืองไทยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และขับเคี้ยวกันอย่างหนัก...
รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง ฐานเศรษฐกิจ