ศึกชิง“หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ใครคุมเกมตัวจริง?

16 ก.ย. 2568 | 05:23 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ย. 2568 | 05:36 น.

“ดร.สามารถ”ชี้อีกไม่นานพรรคประชาธิปัตย์ จะเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ที่ลาออกไป คำถามคือ ใครจะเป็นผู้คุมเกมตัวจริง?

KEY

POINTS

  • การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ถูกควบคุมโดย "ขั้วอำนาจปัจจุบัน" ที่กุมเสียงข้างมากของ ส.ส. และกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)
  • โครงสร้างการลงคะแนนให้ความสำคัญกับกลุ่ม ส.ส. (40%) และ กก.บห. (20%) ซึ่งมีคะแนนเสียงรวมกันถึง 60% และมีน้ำหนักต่อคนสูงกว่าโหวตเตอร์กลุ่มอื่นมาก
  • ผู้สมัครจากนอกขั้วอำนาจปัจจุบันมีโอกาสชนะได้ยาก เนื่องจากต้องเจาะฐานเสียงของ ส.ส. และ กก.บห. พร้อมทั้งกวาดคะแนนจากโหวตเตอร์กลุ่มอื่นให้ได้เป็นส่วนใหญ่

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต สส. และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพตส์เฟซบุ๊กในหัวหข้อ ศึกชิง “หัวหน้าพรรคปชป.”ใครคุมเกมตัวจริง? ระบุว่า

อีกไม่นานพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่เพิ่งลาออกไป คำถามคือ... ใครจะเป็นผู้คุมเกมตัวจริง?

1. เกมตัวเลข... ใครคุมคะแนนเสียง?

ตามข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ “โหวตเตอร์” ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

(1) ส.ส.ปัจจุบันมีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่

กลุ่ม ส.ส.คือฐานกำลังที่แข็งที่สุด ใครกุมเสียง ส.ส.ได้ก็มีโอกาสได้รับชัยชนะ ปัจจุบัน ส.ส.ของพรรค ปชป.มีจำนวน 25 คน มีคะแนน 40% นั่นหมายความว่า ส.ส. 1 คน จะมีคะแนนถึง 1.6% (40%/25) 

(2) กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) มีคะแนน 20% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่

เดิม กก.บห. มีทั้งหมด 40 คน ลาออกไป 8 คน เหลือ 32 คน ในจำนวนนี้มีคนที่เป็น ส.ส.ปัจจุบัน 8 คน เหลือ กก.บห.ที่ไม่เป็น ส.ส. 24 คน มีคะแนน 20% นั่นหมายความว่า กก.บห. 1 คน จะมีคะแนน 0.83% (20%/24)

(3) โหวตเตอร์อื่น เช่น อดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรค อดีต ส.ส. รัฐมนตรีของพรรคในปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรีของพรรค หัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เป็นต้น มีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่

ตามข้อบังคับพรรค โหวตเตอร์ทั้งหมดจะต้องมีอย่างน้อย 250 คน ดังนั้น จำนวนโหวตเตอร์อื่นจะต้องมีไม่น้อยกว่า 201 คน (250-25-24) มีคะแนน 40% นั่นหมายความว่าโหวตเตอร์อื่น 1 คน จะมีคะแนนเพียง 0.20% (40%/201) เท่านั้น ถ้าในวันเลือกตั้ง มีโหวตเตอร์เข้าร่วมมากกว่า 250 คน จะยิ่งทำให้โหวตเตอร์อื่นมีคะแนนต่อคนลดน้อยลงอีก

สรุปง่ายๆ เสียง ส.ส. และ กก.บห.แทบจะชี้ขาดทุกอย่าง เพราะมีคะแนนต่อคนสูง และส่วนใหญ่ยังอยู่ใน “ขั้วอำนาจปัจจุบัน”… นั่นคือคำตอบว่า “ขั้วอำนาจปัจจุบัน” เป็นผู้คุมคะแนนเสียง!

2. สมการชนะเลือกตั้ง

ลองคิดเล่นๆ... ถ้าได้คะแนนเสียงจาก ส.ส. 21 คน คิดเป็น 33.6% บวกกับ กก.บห. 20 คน คิดเป็น 16.60% รวมแล้วได้ 50.20%... ชนะเลือกตั้งทันที! 
นี่คือเหตุผลว่าทำไม “ขั้วอำนาจปัจจุบัน” จึงได้เปรียบ

3. ทำไม “คนนอกขั้วอำนาจปัจจุบัน” จึงสู้ยาก?

เหตุผลคือ กลุ่ม ส.ส.รวมกับกลุ่ม กก.บห. มีคะแนนรวมถึง 60% ถ้าขั้วอำนาจปัจจุบันรวมกันได้ครบ “คนนอกขั้วอำนาจปัจจุบัน” แทบจะหมดสิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม! 

แต่ยังมี “สูตรคณิตศาสตร์การเมือง” ที่จะทำให้ “คนนอกขั้วอำนาจปัจจุบัน” พอจะมีลุ้นคือ...

(1) ต้องเจาะเข้าถึง ส.ส.บางส่วน แค่ 4 คน ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ยังไม่พอ

(2) ต้องมีเครือข่าย กก.บห.ที่ยอมแหกค่าย

(3) ต้องกวาดคะแนนจากโหวตเตอร์อื่นอย่างน้อย 30-35% จากทั้งหมด 40% ซึ่งไม่ง่าย

4. สรุป

ถ้า “ขั้วอำนาจปัจจุบัน” เห็นว่าพรรคฯ อยู่ในสถานการณ์ที่คะแนนความนิยม “จมดิ่ง” ยากที่จะเข็นต่อไป และมีความรักพรรคฯ อย่างจริงใจ หันมาเปิดไฟเขียวให้หนุน “คนนอกขั้วอำนาจปัจจุบัน” 

พรรคฯ จะได้ผู้นำคนใหม่ที่มาจากนอกขั้วอำนาจปัจจุบัน มาช่วยกันฟื้นฟูพรรคฯ ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น... แต่ถ้าขั้วอำนาจปัจจุบันจับมือกันแน่น ผลลัพธ์แทบจะถูกเขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว

สุดท้ายอยู่ที่ “โหวตเตอร์ทุกคน” จะเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใคร? เพื่อส่วนรวม? หรือเพื่ออำนาจของบางกลุ่ม?