มติป.ป.ช. “ไม่ชี้มูล” 17 ผู้บริหาร ปตท.-PTT.GE คดีปาล์มอินโดฯ

10 ก.ย. 2568 | 04:58 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2568 | 05:15 น.

ป.ป.ช.มีมติ “ไม่ชี้มูล” ความผิดอดีตผู้บริหาร ปตท. และ PTT.GE รวม 17 ราย คดีลงทุนปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย หลังไต่สวนไม่พบหลักฐานทุจริตหรือรับผลประโยชน์

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติไม่ชี้มูลความผิดผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พีทีที กรีนเอเนอร์ยี่ จำกัด (PTT.GE) พร้อมผู้เกี่ยวข้องรวม 17 ราย ในคดีการลงทุนโครงการปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย
ผู้ที่ได้รับการพ้นผิด อาทิ

นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรักษาการกรรมการผู้จัดการ PTT.GE

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.

รวมถึงอดีตผู้บริหารระดับสูงและเอกชนที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 17 คน

 

ป.ป.ช. ระบุว่า จากการไต่สวน ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันว่า ผู้ถูกกล่าวหาชุดแรกได้รับผลประโยชน์ หรือ กระทำการทุจริต อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นในการลงทุนดังกล่าว มาจากการบริหารจัดการของผู้บริหารชุดถัดมา ไม่ใช่การดำเนินการของกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาในครั้งนี้ ทำให้ข้อกล่าวหาตกไปทั้งในทางอาญาและวินัย

ที่มาของคดี :

  • 18 กุมภาพันธ์ 2566 ปตท. ได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. กล่าวหาอดีตผู้บริหาร PTT.GE เกี่ยวกับการลงทุนโครงการปลูกปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย
  • ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนและมีการเปลี่ยนองค์คณะหลายครั้ง เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน กินระยะเวลายาวนานกว่า 12 ปี
  • ผลการไต่สวนระบุว่า การดำเนินการของผู้บริหารชุดแรกไม่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย

เดินหน้าสอบ “ภาค 2”

แม้จะยุติการไต่สวนผู้บริหารชุดแรก แต่ ป.ป.ช. ยังเดินหน้าสอบสวน ภาค 2 ของคดี โดยมุ่งไปที่ ผู้บริหารชุดถัดมา ซึ่งถูกกล่าวหาว่า

  • มีการขายทรัพย์สินโครงการ 5 แห่งในราคาต่ำกว่าตลาดและต่ำกว่าราคาประเมินราชการ
  • การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) และ มาตรา 200 (เกี่ยวกับการบริหารทรัพย์สินรัฐ)
  • ส่งผลให้ ปตท. และ PTT.GE ประสบความเสียหายและขาดทุนจำนวนมาก

มติ ป.ป.ช.ครั้งนี้ นับเป็นการปิดฉากคดีการลงทุนปลูกปาล์มอินโดนีเซีย ในส่วนของผู้บริหารชุดแรก แต่การสอบสวนยังไม่สิ้นสุด โดยความคืบหน้าใน “ภาค 2” จะเป็นตัวชี้ชะตาว่าใครต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายครั้งใหญ่ขององค์กรหรือไม่