KEY
POINTS
29 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้นัดอ่านคำวินิจฉัยในคดีประวัติศาสตร์ที่ ประธานวุฒิสภา ได้ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 หรือไม่ จากกรณีกล่าวอ้างว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว
การพิจารณาคดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประธานวุฒิสภาได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบสถานะของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร. ผู้ร้องอ้างว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหลายมาตรา รวมถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 หลายข้อ โดยฝ่ายผู้ร้องได้มอบฉันทะให้ผู้แทนมาศาล
อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคดี ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาประเด็นแรกว่าตนเองมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ได้หรือไม่ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นไปโดยทุจริตและขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา รวมถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศเป็นกิจการของฝ่ายบริหารโดยแท้ และควรได้รับการตรวจสอบทางการเมืองเท่านั้น โดยอ้างอิงถึงแนวทางของศาลในต่างประเทศที่จำกัดอำนาจตนเองไม่ให้เข้าไปวินิจฉัยการใช้ดุลพินิจทางการเมือง
อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 3 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่ง มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อมีเหตุตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 4 (ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 อนุมาตรา 4) หรือมาตรา 170 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 5 (กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187)
ในกรณีนี้ ผู้ร้องขอให้ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกร้องที่สนทนากับสมเด็จฮุนเซนทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 160 อนุมาตรา 4 คือ "ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" และ อนุมาตรา 5 คือ "มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง". ศาลจึงมีอำนาจตรวจสอบว่าการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญได้เน้นย้ำว่า ไม่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องในส่วนที่ว่าผู้ถูกร้องกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา อันเป็นคดีอาญาแต่อย่างใด และไม่ได้เป็นการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจกำหนดนโยบายระหว่างประเทศซึ่งเป็นกิจการทางรัฐบาลที่ต้องถูกตรวจสอบทางการเมืองเท่านั้น
การรับฟังคลิปเสียงเป็นพยานหลักฐาน ประเด็นต่อมาคือศาลจะรับฟังคลิปเสียงตามคำร้องเป็นพยานหลักฐานในคดีได้หรือไม่ เนื่องจากผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการบันทึกเสียงหรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยปราศจากความยินยอมของคู่สนทนา อีกทั้งยังเป็นบทสนทนาในภาษาต่างประเทศที่ยังไม่มีการแปลหรือรับรองความถูกต้อง.
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้การพิจารณาคดีใช้ระบบไต่สวน โดยให้ศาลมีอำนาจค้นหาความจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง ให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติห้ามรับฟังไว้โดยเฉพาะ.
ศาลชี้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์มุ่งหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถรับฟังพยานหลักฐานได้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในคดีรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลกระทบต่อประโยชน์ของมหาชน. นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องเองก็รับว่าได้กล่าวถ้อยคำตามที่ปรากฏในคลิปจริง ในการแถลงข่าวชี้แจงต่อสื่อมวลชนและในการไต่สวนพยานหลักฐานของศาลรัฐธรรมนูญ.
แม้ผู้ถูกร้องจะโต้แย้งว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามรับฟังไว้โดยเฉพาะ และผู้ถูกร้องไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นการพูดโดยถูกจูงใจ ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่นใด
ศาลเห็นว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานสำคัญซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำการตามที่ถูกร้องหรือไม่ การรับฟังคลิปเสียงนี้จึงเป็นไปเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในคดี อันจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียที่อาจเกิดขึ้น. ศาลยังให้โอกาสผู้ถูกร้องในการนำสืบพยานหลักฐานหักล้างแล้ว และผู้ถูกร้องไม่ได้โต้แย้งข้อความในคลิปสนทนาว่าส่วนใดไม่ถูกต้อง จึงรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องได้กล่าวถ้อยคำที่มีข้อความตามคำร้องจริง
สำหรับประเด็นภาษาต่างประเทศ ศาลเห็นว่าบทสนทนาที่เป็นประเด็นตามข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องในคดีนี้คือถ้อยคำของผู้ถูกร้องที่กล่าวเป็นภาษาไทย จึงไม่เข้าข่ายข้อกำหนดที่ต้องจัดทำคำแปลทั้งฉบับ. ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงรับฟังคลิปเสียงที่เป็นพยานหลักฐานได้
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและมาตรฐานทางจริยธรรม ศาลได้พิจารณาว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 4 ประกอบมาตรา 160 อนุมาตรา 4 และอนุมาตรา 5 หรือไม่
มาตรา 160 บัญญัติว่ารัฐมนตรีต้อง:
อนุมาตรา 4: มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
อนุมาตรา 5: ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ มาตรา 170 วรรคหนึ่งอนุมาตรา 4 บัญญัติว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160
ศาลอธิบายว่าบทบัญญัติเหล่านี้มีเจตนารมณ์ที่จะกำหนดบทบัญญัติว่าด้วยจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐมนตรีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของรัฐ ซึ่งมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตของประชาชน
ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจึงต้องได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากประชาชน และต้องถูกตรวจสอบทั้งเรื่องส่วนตัวและความประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่. รัฐธรรมนูญต้องการวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวดเด็ดขาด เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจ. คุณสมบัติของรัฐมนตรีจึงถูกกำหนดให้สูงกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
คำว่า "ซื่อสัตย์" หมายความว่า ประพฤติตรงและจริงใจ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง และไม่หลอกลวง ส่วนคำว่า "สุจริต" หมายความว่า ความประพฤติชอบ. คุณธรรมนี้เป็นคุณธรรมสำคัญขั้นพื้นฐาน และเป็นส่วนหนึ่งของการยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม รัฐมนตรีจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น และต้องแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน
สำหรับ "พฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง" นั้น หมายถึงกรณีเฉพาะเจาะจงที่กำหนดไว้ในมาตรฐานทางจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกำหนดขึ้น ซึ่งครอบคลุมถึงการรักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และระบุชัดเจนว่าการฝ่าฝืนมีลักษณะร้ายแรง. มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 กำหนดว่าให้ใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรีด้วย
มาตรฐานทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง:
•หมวด 1 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ (ถือว่าร้ายแรงตามข้อ 27 วรรค 1):
ข้อ 6: ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน.
ข้อ 7: ต้องถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน.
ข้อ 8: ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่น.
หมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก (พิจารณาถึงพฤติกรรมและเจตนาตามข้อ 27 วรรค 2):
ข้อ 17: ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง.
หมวด 3 จริยธรรมทั่วไป (พิจารณาถึงพฤติกรรมและเจตนาตามข้อ 27 วรรค 2):
ข้อ 21: ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชา ชนโดยรวม.
ข้อเท็จจริงและวินิจฉัยของศาลเกี่ยวกับพฤติกรรมนายกรัฐมนตรี
ประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ตามมาตรา 160 อนุมาตรา 4: ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ขณะที่ผู้ถูกร้องกำลังเจรจากับสมเด็จฮุนเซน สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชามีความตึงเครียดอย่างสูง โดยสมเด็จฮุนเซนได้แถลงจุดยืนกดดันให้ประเทศไทยเปิดด่านผ่านแดนทั้งหมด. ผู้ถูกร้องจึงใช้ช่องทางการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ
อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องตอบรับข้อเสนอหรือความต้องการใดของสมเด็จฮุนเซน อีกทั้งการเจรจาไม่ก่อให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ หรือการเปิดหรือปิดด่าน. แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมิได้ยินยอมตามข้อเสนออันเป็นการรักษาดุลแห่งผลประโยชน์แห่งชาติ. การที่ผู้ถูกร้องยังคงมีเจตนายึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง การกระทำของผู้ถูกร้องจึงยังไม่เป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
ประเด็นพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรา 160 อนุมาตรา 5: ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร และเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการติดต่อกับนานาประเทศ จึงเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและบริหารงานเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
แม้การสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการเปิดปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุปะทะ จะกระทำในช่วงเวลาส่วนตัวของผู้ถูกร้องและผู้ถูกร้องเรียกว่าเป็นการเจรจาแบบส่วนตัว แต่เนื้อหามีสาระสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ
ดังนั้น กรณีจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่การกระทำในฐานะส่วนตัวในฐานะประชาชน ซึ่งผู้ถูกร้องต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ถ้อยคำและบริบทการสนทนาที่ศาลพิจารณา: ศาลได้พิจารณาถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องใช้ในการสนทนาประกอบกับบริบททั้งหมดในคลิปเสียง โดยเฉพาะในส่วนที่กล่าวถึง แม่ทัพภาคที่ 2 พลโท บุญสิน พาดกลาง ผู้ถูกร้องกล่าวถึงตนเองกับสมเด็จฮุนเซนรวมกันเป็น "เรา" และกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาว่าเป็น "คนของฝั่งตรงข้ามกับเรา" รวมทั้งตำหนิแม่ทัพภาค 2 ว่าพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ศาลเห็นว่า การที่ผู้ถูกร้องซึ่งมีฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยและเป็นผู้บังคับบัญชาของแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อสมเด็จฮุนเซน ย่อมเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า มีการแบ่งข้างเชิงความคิดด้านความมั่นคงของประเทศ และเกิดความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ. ถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องกล่าว วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าเป็นลักษณะการแสดงถึงความอ่อนแอทางการเมืองภายในประเทศให้กัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศคู่ขัดแย้งทราบ และหากถูกเผยแพร่ออกไป จะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำข้อมูลดังกล่าวมาใช้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้
สำหรับการเจรจาเกี่ยวกับการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ศาลพิจารณาจากถ้อยคำของผู้ถูกร้อง เช่น:
"ให้ท่านฮุนเซ็นเห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกที่เขมรหมดแล้ว จริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้ จะโพสต์หรืออย่างไรก็ได้ ให้ท่านเซ็นแนะนำก็ได้ เหมือนกับว่าต้องเป็นการตกลงร่วมกัน เพราะตอนนี้อิงกำลังโดนหนักมากเลย"
"พร้อมค่ะ คือเราเปิดให้แกอยู่แล้วพี่ฮวด แต่ต้องเป็นการบอกกล่าวบอกว่าเราตกลงร่วมกันว่าเราเปิด เพราะไม่อย่างนั้นถ้าอิงยอมๆ ยอมหมด อิงก็จะโดน เพราะว่าตอนนี้มันเลยมาถึงเรื่องกวดด่านแล้ว"
"และถ้าท่านฮุนเซ็นอยากได้อะไรก็ให้บอก จะได้คุยกันได้ตกลงกันได้ เพราะบางทีที่ท่านโพสต์ Facebook ออกมา ตอนนี้รัฐบาลสั่นคลอนที่สุดแล้วค่ะ ตั้งแต่อิงเป็นนายกมา ก็คือเรื่องกัมพูชานี่แหละ ซึ่งอิงไม่ออกมาตอบโต้ อะไรทั้งสิ้น เพราะอิงก็รักและเคารพท่าน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วถ้าท่านจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิงได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าวก็ไม่เป็นข่าว จะไปคุยกับกลาโหมดูแล้วขอคอนเฟิร์มกลับมา เพราะเดี๋ยวจะคุยกับกองทัพก่อน แต่เดี๋ยวเราก็จะสั่งไปเลย แต่ว่าอิงรอให้มัน 100% แล้วค่อยแจ้งกลับมาดีกว่า เพราะไม่อยากจะยังไม่ 100% แล้วบอกท่านก่อน แต่ว่าจริงๆ ก็จัดการได้ค่ะ"
ศาลเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการขอให้สมเด็จฮุนเซนเห็นใจและช่วยเหลือผู้ถูกร้องในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากผู้ถูกร้องกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน. ผู้ถูกร้องโน้มน้าวให้มีการเปิดด่านพร้อมกันในลักษณะที่เป็นการตกลงร่วมกัน เนื่องจากหากยอมตามข้อเรียกร้องของสมเด็จฮุนเซน ผู้ถูกร้องจะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องยังแสดงท่าทียอมตนหรือยอมจำนนช่วงหน้าให้สมเด็จฮุนเซนเสนอความต้องการของตนเองให้ผู้ถูกร้องทราบ และผู้ถูกร้องยินดีจะดำเนินการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยมิได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือรักษาจุดยืนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
การเจรจาของผู้ถูกร้องมีลักษณะเป็นการยืนยันว่าฝ่ายไทยพร้อมที่จะเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งที่ผู้ถูกร้องทราบดีว่า มติสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ให้กองทัพควบคุมจุดผ่านแดน และกองทัพได้มีคำสั่งควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามชายแดนไทย-กัมพูชาแล้วตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2568 และยังไม่มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงมติดังกล่าว
ผู้ถูกร้องยังทราบดีว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันสนทนา ยังไม่มีทีท่าจะลดระดับความรุนแรง. อีกทั้งประเทศไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปิดด่านน้อยกว่ากัมพูชามาก
ศาลจึงวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องมีวัตถุประสงค์ในการเจรจาให้มีการเปิดด่านพร้อมกันกับกัมพูชา เป็นไปเพื่อผลประโยชน์และความประสงค์ของสมเด็จฮุนเซนมากกว่าประโยชน์และความมั่นคงของชาติ อันเนื่องมาจากการพยายามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้ถูกร้องกับสมเด็จฮุนเซน และเป็นไปเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของผู้ถูกร้อง โดยมุ่งหวังเพียงการทำให้คะแนนนิยมในประเทศของผู้ถูกร้องดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ทางการเมืองของตน โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงในขณะนั้นอันเป็นผลประโยชน์ของชาติ
พฤติการณ์ในการกระทำของผู้ถูกร้อง ย่อมทำให้วิญญูชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้ว่า ผู้ถูกร้องจะยินยอมกระทำการตามฝ่ายกัมพูชาโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ เพราะเหตุที่ผู้ถูกร้องรู้จักกับสมเด็จฮุนเซนเป็นการส่วนตัว และจะดำเนินการในทางที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชา
นอกจากนี้ แม้ผู้ถูกร้องจะแจ้งการหารือกับสมเด็จฮุนเซนให้ที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็กทราบในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 แต่ก็ ไม่ได้แจ้งรายละเอียดข้อสนทนาที่เป็นข้อพิพาทในคดีด้วย อันเป็นการปกปิดเพื่อไม่ให้ผู้เข้าประชุมทราบเจตนาที่แท้จริงของผู้ถูกร้อง. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติพยานได้ตอบคำถามว่าเพิ่งทราบรายละเอียดข้อความพิพาทจากคลิปเสียงที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนในวันที่ 18 มิถุนายน 2568
ศาลจึงเห็นว่า การแจ้งที่ประชุมโดยปกปิดข้อความที่จะทำให้ตนเองเสียหาย จึงไม่มีผลลบล้างเจตนาที่แท้จริงของผู้ถูกร้องที่ได้กระทำไปแล้ว. การกระทำของผู้ถูกร้องที่ขอความเห็นใจจากสมเด็จฮุนเซนจึงไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่ผู้ถูกร้องกล่าวอ้าง แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบและระมัดระวัง
เมื่อผู้ถูกร้องมีประโยชน์ส่วนตัวคือคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึงและยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
การกระทำดังกล่าวเป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิและเกียรติของนายกรัฐมนตรีและประเทศไทย ทำให้ประชาชนขาดความภาคภูมิใจและความไว้วางใจในนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำของประเทศ. มีลักษณะเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ
สรุปการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง: การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ดังนี้:
หมวด 1 ข้อ 6 (ไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ).
หมวด 1 ข้อ 7 (ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ).
หมวด 1 ข้อ 8 (ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต). การฝ่าฝืนมาตรฐานในหมวด 1 นี้ ถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามข้อ 27 วรรคหนึ่ง.
นอกจากนี้ ยังเป็นการฝ่าฝืน:
หมวด 2 ข้อ 17 (ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี).
หมวด 3 ข้อ 21 (ไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ). การฝ่าฝืนมาตรฐานในหมวด 2 และ 3 นี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับเจตนาและความร้ายแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นได้ว่ามีลักษณะร้ายแรงตามข้อ 27 วรรคสอง
คำวินิจฉัยและผลของคดี ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันทำให้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 อนุมาตรา 5
ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 4 ประกอบมาตรา 160 อนุมาตรา 5
การสิ้นสุดลงของความเป็นรัฐมนตรีมีผลนับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง อนุมาตรา 1 มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป.
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ ถือเป็นคำวินิจฉัยที่ 17/2568 ลงวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568. คู่กรณีสามารถคัดถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยได้เมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันอ่านคำวินิจฉัย