“ฉัตรชัย บางชวด" ลูกหม้อ สมช. พยานปากเอกชี้ชะตา “แพทองธาร”

14 ส.ค. 2568 | 09:41 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ส.ค. 2568 | 10:07 น.

"ฉัตรชัย บางขวด" ลูกหม้อ สมช. วัย 58 ปี เส้นทางราชการโชกโชนกว่า 30 ปี ขึ้นแท่นพยานเอกเพียงปากเดียว ในคดีคลิปเสียงฮุนเซน ก่อนศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตา นายกฯ แพทองธาร 29 ส.ค. 2568

KEY

POINTS

  • ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นพยานปากสำคัญเพียงคนเดียว ที่ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ไต่สวนในคดีที่อาจชี้ชะตาตำแหน่งนายกฯ ของ แพทองธาร ชินวัตร
  • ฉัตรชัย ถือเป็น "ลูกหม้อ" ของ สมช. โดยเติบโตจากการรับราชการในตำแหน่งต่างๆ ภายในองค์กร และ เป็นเลขาฯ สมช. คนแรก ที่เป็นคนใน รอบ 9 ปี
  • แพทองธาร ชี้ว่า นายฉัตรชัย เป็นผู้ที่ทราบถึงเจตนาที่แท้จริงในการสนทนากับฮุน เซน ซึ่งคำให้การของเขาอาจเป็นตัวตัดสินในคดีนี้

วันที่ 29 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย คดี “คลิปเสียงฮุนเซน” ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และนัดไต่สวนพยาน 2 ปาก ในวันที่ 21 ส.ค. 2568 คือ 

1. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม

2. นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เลขาฯ สมช.) 

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2568 น.ส.แพทองธาร ได้ยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยขอให้ศาลอนุญาตไต่สวนพยานผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ปาก ได้แก่

1.นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้ทำงานร่วมกับ ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ และยังเป็นบุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของตนเอง ในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน

2. นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน

3. พลเอก ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา ทำงานด้านปฏิบัติในกัมพูชามาตั้งแต่ยศร้อยโท และทำงานอยู่กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพที่ 2 และ ผู้บัญชาการรบพิเศษอย่างต่อเนื่อง

4. พลโท พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร รองเจ้ากรมทหาร ในฐานะผู้ชำนาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของทหาร และเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ

5. นายธนาธิป อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์ และ อดีตทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย ในฐานะผู้ชำนาญด้านการต่างประเทศ และสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีปฏิบัติทางการทูตในการเจรจาแบบไม่เป็นทางการ

ประวัติ ฉัตรชัย บางชวด

สำหรับ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาฯ สมช. ซึ่งเป็นพยานเอก เพียงปากเดียวของ “นายกฯ แพทองธาร” ที่ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้เข้าเป็นพยาน และ ไต่สวน วันที่ 21 ส.ค.นั้น “โปรไฟล์” ที่ผ่านมาของเขาถือว่า “ไม่ธรรมดา” 

ฉัตรชัย บางชวด เกิดเมื่อ 26 มีนาคม 2510 ที่อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ปัจจุบันอายุ 58 ปี 

การศึกษา : 

สำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต (เศรษฐศาสตร์เกษตร) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 
ระดับปริญญาโทพัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต (พัฒนาการเศรษฐกิจ) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

การทำงาน :  

  • รับราชการที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในตำแหน่งต่างๆ อาทิ 
  • ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านความมั่นคงภายในประเทศ 
  • ผู้อำนวยการสำนักประเมินภัยคุกคามผู้อำนวยการ สำนักนโยบายและแผนความมั่นคง 
  • ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้และชนต่างวัฒนธรรม 
  • ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงภายในประเทศ รับผิดชอบการจัดทำนโยบายด้านความมั่นคงที่สำคัญ อาทิ

1.นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติพ.ศ. 2566 – 2570

2.นโยบายการบริหารและการพัฒนากำหนดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2565-2567

3. แผนปฏิบัติการด้านการบริหารและการพัฒนากำหนดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2566 – 2570

4. แผนปฏิบัติการด้านการธำรงรักษาสถาบันหลักของชาติ พ.ศ. 2547 – 2570
-ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง ระดับกรม (Department Chief Information Officer: DCIO)

  • รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รับผิดชอบงานหลักด้านความมั่นคงภายในประเทศ และการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

ฉัตรชัย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในยุคของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 

"ภูมิธรรม"ตั้งเป็น เลขาฯ สมช.

กระทั่ง วันที่ 8 ตุลาคม 2567 คณะรัฐมนตรีได้มีมติ แต่งตั้ง ฉัตรชัย บางชวด ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ตามที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้เสนอ 

นับเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เป็นคนใน หรือที่เรียกว่า “ลูกหม้อ” คนแรก ในรอบ 9 ปี นับแต่ อนุสิษฐ คุณากร ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาฯ สมช. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 - 30 กันยายน 2558

มารอดูกันว่า พยานเอกปากเดียวของ “แพทองธาร ชินวัตร” จะช่วยให้เธอรอดพ้นจากการถูก “ถอดถอน” ออกจากตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี คนที่ 31” ได้หรือไม่

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. จะได้รู้คำตอบกัน...