วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติวินิจฉัยว่า นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย มีความผิด กรณีเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า เนื่องจากมีพยานหลักฐานว่า 3 โครงการในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ จ.เชียงราย มาจากการดำริของ นายพิเชษฐ์ และกลุ่มงานรองประธานสภาคนที่ 1 เป็นผู้ริเริ่ม โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 ซึ่งมีรูปแบบต่อเนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
อันเข้าข่ายเป็นการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพสส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (11)
คดีดังกล่าว นายภัณฑิล น่วมเจิม ส.ส.พรรคประชาชน พร้อมด้วยส.ส. 121 คน ร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาล กล่าวหา นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144
คำร้องระบุว่า นายพิเชษฐ์ได้ให้ความเห็นชอบและมีส่วนโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการผลักดันโครงการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3 โครงการ ในงบประมาณปี 2568 และต่อมาได้เสนอในลักษณะเดียวกันอีกครั้งในงบประมาณปี 2569 ซึ่งเข้าข่ายการแปรญัตติหรือการจัดทำงบประมาณที่ผู้ถูกร้องมีส่วนได้เสีย อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง
คดีนี้ หลังศาลมีคำวินิจฉัยว่า นายพิเชษฐ์ ฝ่าฝืนมาตรา 144 ส่งผลให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.เชียงราย และพ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่หนึ่งโดยปริยาย ต้องนำไปสู่การเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ และ ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี
ที่สำคัญ คำวินิจฉัยนี้ถูกจับตาว่า จะกลายเป็น “บรรทัดฐาน” ต่อการพิจารณาคดีตาม มาตรา 144 ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกรณีนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท”