วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภาโดยมี นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง ทำหน้าที่ประธาน ได้พิจารณาวาระเร่งด่วนเรื่องการให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่ง กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แทนตำแหน่งที่ว่างลง
ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อคือ นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ก่อนการลงมติ ที่ประชุมได้พิจารณารายงานลับของคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และจริยธรรม ซึ่งใช้เวลาประชุมลับประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงเปิดให้สมาชิกวุฒิสภาลงคะแนนเสียงแบบลับผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
ผลการลงมติเป็นเอกฉันท์เกือบสมบูรณ์แบบ โดย
เห็นชอบ 165 เสียง
ไม่เห็นชอบ 1 เสียง
งดออกเสียง 20 เสียง
ถือว่า นายณรงค์ ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่ง กกต. อย่างเป็นทางการ
เติมเต็มกกต.แทน“ปกรณ์ มหรรณพ”
การแต่งตั้ง นายณรงค์ ในครั้งนี้ เป็นการสรรหาเพื่อแทน นายปกรณ์ มหรรณพ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ที่พ้นจากตำแหน่งไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากอายุครบ 70 ปีตามที่กฎหมายกำหนด
เปิดประวัติ “ณรงค์ กลั่นวารินทร์”
นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ เป็นบุคลากรสายตุลาการที่เติบโตในสายงานด้านกฎหมายอย่างต่อเนื่อง มีคุณสมบัติครบถ้วนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในด้าน ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย
ตำแหน่งสำคัญในอดีต:
เคยดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการ ในสำนักงานอัยการสูงสุด
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
เป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่ง กกต. ต้องมาจากองค์กรอิสระหรือศาล
ถือเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับในวงการตุลาการ มีประสบการณ์ยาวนานในการใช้ดุลยพินิจทางกฎหมาย และไม่ปรากฏประวัติเสียหายหรือข้อครหาทางจริยธรรม
บทบาทใหม่ภายใต้บริบทการเมืองร้อน
การเข้ารับตำแหน่งของ “ณรงค์ กลั่นวารินทร์” เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ กกต. ต้องเผชิญกับแรงกดดันในการทำหน้าที่ตรวจสอบการเลือกตั้ง สว. ที่เพิ่งผ่านไป รวมถึงบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งระดับชาติในอนาคต และกรณีร้องเรียนทางการเมืองที่ยังค้างคาอยู่ในหลายพรรคการเมือง
ภารกิจของ นายณรงค์ จึงไม่ใช่เพียงการนั่งในตำแหน่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นเสาหลักในการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับองค์กรอิสระด้านการเลือกตั้งของประเทศ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประชาธิปไตยไทย