มติวุฒิสภาท่วมท้น 165 เสียง ไฟเขียว “ณรงค์ กลั่นวารินทร์” นั่ง กกต.

22 ก.ค. 2568 | 06:53 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ค. 2568 | 06:57 น.

วุฒิสภาประชุมลับลงมติเห็นชอบ “ณรงค์ กลั่นวารินทร์” ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ขึ้นแท่น กรรมการ กกต. แทนตำแหน่งว่างของ “ปกรณ์ มหรรณพ” ที่พ้นวาระด้วยเหตุอายุครบ 70 ปี

วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภาโดยมี นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง ทำหน้าที่ประธาน ได้พิจารณาวาระเร่งด่วนเรื่องการให้ความเห็นชอบบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่ง กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แทนตำแหน่งที่ว่างลง

ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อคือ นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ก่อนการลงมติ ที่ประชุมได้พิจารณารายงานลับของคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และจริยธรรม ซึ่งใช้เวลาประชุมลับประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงเปิดให้สมาชิกวุฒิสภาลงคะแนนเสียงแบบลับผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 

ผลการลงมติเป็นเอกฉันท์เกือบสมบูรณ์แบบ โดย

เห็นชอบ 165 เสียง

ไม่เห็นชอบ 1 เสียง
งดออกเสียง 20 เสียง

ถือว่า นายณรงค์ ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่ง กกต. อย่างเป็นทางการ

เติมเต็มกกต.แทน“ปกรณ์ มหรรณพ”

การแต่งตั้ง นายณรงค์ ในครั้งนี้ เป็นการสรรหาเพื่อแทน นายปกรณ์ มหรรณพ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ที่พ้นจากตำแหน่งไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากอายุครบ 70 ปีตามที่กฎหมายกำหนด

เปิดประวัติ “ณรงค์ กลั่นวารินทร์”

นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ เป็นบุคลากรสายตุลาการที่เติบโตในสายงานด้านกฎหมายอย่างต่อเนื่อง มีคุณสมบัติครบถ้วนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในด้าน ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย
ตำแหน่งสำคัญในอดีต:

เคยดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการ ในสำนักงานอัยการสูงสุด

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา

เป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่ง กกต. ต้องมาจากองค์กรอิสระหรือศาล

ถือเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับในวงการตุลาการ มีประสบการณ์ยาวนานในการใช้ดุลยพินิจทางกฎหมาย และไม่ปรากฏประวัติเสียหายหรือข้อครหาทางจริยธรรม

บทบาทใหม่ภายใต้บริบทการเมืองร้อน

การเข้ารับตำแหน่งของ “ณรงค์ กลั่นวารินทร์” เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ กกต. ต้องเผชิญกับแรงกดดันในการทำหน้าที่ตรวจสอบการเลือกตั้ง สว. ที่เพิ่งผ่านไป รวมถึงบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งระดับชาติในอนาคต และกรณีร้องเรียนทางการเมืองที่ยังค้างคาอยู่ในหลายพรรคการเมือง

ภารกิจของ นายณรงค์ จึงไม่ใช่เพียงการนั่งในตำแหน่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นเสาหลักในการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับองค์กรอิสระด้านการเลือกตั้งของประเทศ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประชาธิปไตยไทย