ฮั้ว สว.ถึงจุดเปลี่ยน จับตา กกต.ฟัน “ภูมิใจไทย-สว.” 229 ราย

19 ก.ค. 2568 | 02:00 น.

การดำเนินคดี ฮั้ว สว. ไม่เพียงเขย่าระบบวุฒิสภา แต่ยังส่งแรงสะเทือนโดยตรงไปยังภูมิใจไทย : รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • คณะอนุกรรมการของ กกต. มีมติชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้อง 229 รายในคดีฮั้วเลือก สว. ประกอบด้วย สว. 138 ราย และกรรมการบริหารพร้อมเครือข่ายพรรคภูมิใจไทย 91 ราย
  • การกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง และรัฐธรรมนูญ ซึ่งหาก กกต. ชุดใหญ่เห็นชอบ อาจนำไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรคภูมิใจไทย
  • กรมสอบสวนคดีพิเศษ กำลังดำเนินคดีคู่ขนานในข้อหาฟอกเงินและอั้งยี่ ซึ่งเชื่อมโยงกับนักการเมืองใน 30 จังหวัด และมีผู้เข้าข่ายกระทำผิดกว่า 100 ราย

สถานการณ์ทางการเมืองไทยเข้าสู่จุดตึงเครียดอีกระลอก เมื่อคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง คณะที่ 26 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งประกอบด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 7 ราย ได้สรุปผลการไต่สวนคดีสำคัญระดับประเทศ กรณีการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 (ฮั้ว สว.) โดยมีผู้เกี่ยวข้องในเครือข่ายการเมืองระดับชาติ รวมถึง พรรคภูมิใจไทย (ภท.)

229 รายติดร่างแหฮั้ว สว.

การสืบสวนที่ยาวนานตลอดหลายเดือน นำไปสู่มติชี้ขาด เมื่อค่ำวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยคณะอนุกรรมการฯ ที่มี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธาน ร่วมด้วยพนักงานสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ลงความเห็นเสนอดำเนินคดีตามกฎหมายต่อผู้ถูกกล่าวหา รวม 229 ราย แบ่งเป็น

1.สมาชิกวุฒิสภา ที่ได้รับการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน จำนวน 138 ราย

2.กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และ เครือข่ายของพรรค จำนวน 91 ราย

ม.76-ม.113 ข้อก.ม.โยงยุบพรรค

ข้อกล่าวหาในสำนวนประกอบด้วยการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ได้แก่ มาตรา 70, 36, 62, 76 และ 77(1) 

โดยเฉพาะมาตรา 76 ซึ่งห้ามไม่ให้กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือผู้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรคการเมือง รวมถึง สส. หรือ ผู้มีตำแหน่งทางการเมือง ไปช่วยเหลือให้บุคคลใดได้รับเลือกเป็น สว. หรือทำให้ไม่ได้รับเลือก 

หากผู้สมัคร สว. ยินยอมให้มีการช่วยเหลือดังกล่าว จะเข้าข่ายความผิดร่วมด้วย โดยมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

คณะกรรมการสืบสวนฯ ระบุพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา เข้าข่ายมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ทำให้ได้รับเลือกเป็น สว. โดยไม่สุจริต และขัดต่อหลักการเที่ยงธรรมในการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 

ขณะเดียวกัน การกระทำดังกล่าวยังเข้าข่ายขัดต่อ รัฐธรรมนูญมาตรา 113 ซึ่งกำหนดชัดเจนว่า “สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใดๆ”

หากที่ประชุม กกต. ชุดใหญ่ ที่มี นายอิทธิพร บุญประคอง เป็นประธาน และคณะกรรมการรวม 7 คน เห็นชอบกับผลสรุปของคณะกรรมการสืบสวนฯ ก็อาจนำไปสู่กระบวนการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณายุบพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องได้ในที่สุด  

                                 ฮั้ว สว.ถึงจุดเปลี่ยน จับตา กกต.ฟัน “ภูมิใจไทย-สว.” 229 ราย

“ฮั้ว สว.”เข้าสู่ขั้นตอนที่ 2

ทั้งนี้ กระบวนการต่อไป คือ การส่งสำนวนเข้าสู่ “ขั้นตอนที่ 2” โดย เลขาธิการ กกต. จะต้องพิจารณาให้ความเห็นในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ กกต. ชุดใหญ่ต่อไป

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. อาจมอบหมายให้รองเลขาธิการ กกต. เป็นผู้พิจารณาลงความเห็นแทน เนื่องจากเคยเป็น “ผู้อำนวยการการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ” ซึ่งอาจถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี 

คดีฮั้ว สว. เมื่อผ่าน ขั้นตอนที่ 2 ก็จะไปสู่ ขั้นตอนที่ 3 จนถึงขั้นตอนที่ 4  อยู่ในมือคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหญ่ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย 

หาก กกต.ชุดใหญ่ มีการพิจารณาชี้ขาด หรือ สั่งฟ้อง ก็อาจนำไปสู่กระบวนการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคต่อไปได้

“ฮั้ว สว.”เขย่าภูมิใจไทย

การดำเนินคดี “ฮั้ว สว.” ไม่เพียงเขย่าระบบวุฒิสภา แต่ยังส่งแรงสะเทือนโดยตรงไปยัง “ภูมิใจไทย”  ในฐานะหนึ่งในพรรคการเมืองใหญ่ และหาก กกต. และ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติสั่งยุบพรรคจริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองไทยครั้งใหญ่ในรอบหลายปี

การเมืองกำลังอยู่บนเส้นทางที่ละเอียดอ่อน เมื่อการตรวจสอบ ฮั้ว สว. กำลังมาถึงจุดชี้ขาด และประเทศไทยอาจกำลังเข้าสู่ระลอกใหม่ของ “มรสุมยุบพรรค” ที่อาจพลิกเกมการเลือกตั้งครั้งถัดไปได้โดยสิ้นเชิง...

                                    ++++

“ฮั้ว สว.”คดีฟอกเงิน-อั้งยี่ เชื่อมโยง 30 จว.เอี่ยว 100 ราย

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เป็นประธานการประชุมหารือความคืบหน้าคดีพิเศษที่ 24/2568 หรือที่สื่อเรียกกันว่า “คดีฮั้ว สว.” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดฐานฟอกเงินและความผิดฐานอั้งยี่ โดยมีหน่วยงานร่วมประชุม ได้แก่ อัยการพิเศษฝ่ายสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ

พ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยหลังประชุมว่า การสอบสวนขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วประมาณ 70% โดยได้สอบปากคำพยานแล้วเกือบ 90 ปาก แบ่งเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนจัดฮั้ว การรับโอนเงิน และกลุ่มที่มีบทบาทช่วยเหลือผู้สมัคร สว. จนได้รับเลือก ซึ่งกำลังรวบรวมหลักฐานเส้นทางการเงินจากหลายสิบช่องทาง

เบื้องต้นพบพฤติกรรมโอนเงินไปยังกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งทีมช่วยเหลือผู้สมัคร หรือที่ปรึกษาส่วนตัวของ สว. โดยมีความเกี่ยวพันกับนักการเมืองท้องถิ่นในกว่า 30 จังหวัด และมีแนวโน้มลุกลามถึงนักการเมืองระดับชาติ ทั้ง สส. และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง

“ยังไม่มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาอย่างเป็นทางการในตอนนี้ เพราะยังอยู่ระหว่างการพิสูจน์เส้นทางการเงินให้แน่ชัด แต่ภายในเดือนหน้าจะสามารถดำเนินการได้” พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าว

พร้อมระบุว่า ขณะนี้มีบุคคลที่เข้าข่ายความผิดมากกว่า 100 ราย โดยข้อหาที่อาจใช้ ได้แก่ ความผิดฐานฟอกเงิน, ความผิดฐานอั้งยี่ (รวมกลุ่มกระทำการมิชอบ) และ ความผิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว. อย่างไม่สุจริต

บางรายก่อนหน้านี้เคยปฏิเสธการเกี่ยวข้อง โดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายปกติ แต่จากพยานหลักฐาน ดีเอสไอพบว่า ในช่วงการเลือกตั้ง สว. มีการโอนเงินก้อนใหญ่ไปยังบุคคลต่างๆ ซึ่งตรงกับช่วงที่มีการลงสมัครและเลือกตั้ง สว.ที่ “อยู่ในโพย” อย่างมีนัยยะ

นายวิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการ ปปง. กล่าวเพิ่มเติมว่า ทาง ปปง. ได้เข้าร่วมพิจารณาในฐานะหน่วยสนับสนุนการติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวกับความผิด โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด, ทรัพย์ที่สนับสนุนการกระทำความผิด, ทรัพย์ที่บุคคลอื่นถือแทนหรือเกี่ยวพัน

โดยเมื่อดีเอสไอมีความชัดเจนเรื่องบุคคลและพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิด ปปง. จะดำเนินการออกคำสั่งอายัดทรัพย์ไว้ชั่วคราวตามกฎหมายฟอกเงิน เพื่อเตรียมส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
ทั้งนี้ พ.ต.ต.ยุทธนา ยืนยันว่า แม้จะมีเจ้าหน้าที่จากดีเอสไอร่วมในคณะกรรมการสืบสวนฯ ของ กกต. ซึ่งกำลังดำเนินคดีตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง สว. แต่การทำงานของดีเอสไอเป็นอิสระและไม่ผูกพันกัน

"ใครจะถูกดำเนินคดีในส่วนของ กกต. ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถูกดีเอสไอดำเนินคดีด้วย แต่หากมีพยานหลักฐานชัดเจนในเรื่องฟอกเงินหรืออั้งยี่ ก็จะดำเนินการแยกตามอำนาจหน้าที่" อธิบดีดีเอสไอ ระบุ

รายงานพิเศษ โดยทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4115