KEY
POINTS
เมื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ปมคลิปเสียง “ฮุน เซน” คดีร้อนการเมืองที่กำลังเดินไปสู่จุดแตกหัก พรรคเพื่อไทย และ “ตระกูลชินวัตร” ต้องชั่งใจ ระหว่างยื้อ-ถอย-รุก เปิดสามทางเลือกเพื่อรักษาอำนาจในเกมเปลี่ยนขั้ว
คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้ “แพทองธาร ชินวัตร” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว สร้างแรงสะเทือนทั้งทางการเมืองและพรรคร่วมรัฐบาล แม้จะมีการแก้เกมเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการแต่งตั้งให้นั่งควบตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม เพื่อคงสถานะรัฐมนตรีไว้ ตามรอยโมเดล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2565 แต่สถานการณ์ครั้งนี้มีเดิมพันสูงกว่า เพราะทุกสายตาจับจ้องไปที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” และ “เกมลับหลังฉาก” ที่เกี่ยวข้องกับขั้วอำนาจจริง
เกมใหญ่เกินให้ประมาท
การพิจารณาคดีคลิปลับฮุน เซน ซึ่งมีการกล่าวหาว่าผิดรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง กำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลา 45-60 วันอันสำคัญ ว่ากันว่า ขณะนี้ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร กำลังเดินสายพบพันธมิตรทางการเมืองหลายขั้ว เพื่อ “อ่านสัญญาณพิเศษ” และเตรียมวางเกมสำรอง
สถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญนั้น ไม่ใช่แค่การตั้งรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นการตั้งรับแผนการเมืองแบบ “บีบให้จนมุม” ซึ่งหากพลิกเกมไม่ทัน อาจนำไปสู่การ “เปลี่ยนขั้วรัฐบาล” ได้ในทันที
ทางสามแพร่ง“แพทองธาร”
1.ลุ้นศาลวินิจฉัย : เสี่ยงแต่ยังมีหวัง
เป็นแนวทาง “ยื้อเกม” โดยไม่แสดงอาการหวั่นไหวใดๆ ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้า หากศาลวินิจฉัยว่า ไม่ผิด “แพทองธาร” จะกลับมานั่งเก้าอี้นายกฯ และกลายเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ ที่ยืนยันเส้นทางอำนาจของ “ตระกูลชินวัตร”
แต่หากศาลตัดสินว่า “ผิดร้ายแรง” โทษสูงสุดคือ พ้นจากตำแหน่ง และมี “มลทินทางการเมือง” ทำให้หมดอนาคตในสนามเลือกตั้ง และ พรรคเพื่อไทย อาจถูกดึงเข้าสู่ “จุดเปลี่ยน” สู่การเปลี่ยนขั้วขนานใหญ่
2.ลาออกก่อนตัดสิน : เซฟตัว เซฟพรรค
โมเดล “ชิงลาออกก่อนศาลวินิจฉัย” ถูกพูดถึงมากขึ้นในพรรคเพื่อไทย โดยอ้างอิงจากกรณี “พิชิต ชื่นบาน” ที่ศาลเคยจำหน่ายคดีออกเมื่อเจ้าตัวลาออกจากรัฐมนตรี ก่อนศาลมีคำวินิจฉัย
หากใช้ทางเลือกนี้ อาจไม่ต้องเสี่ยง “เสียบันทึกทางการเมือง” และยังสามารถรีเซ็ตเพื่อให้ “แพทองธาร” มีโอกาสกลับมาในภายหลัง ขณะเดียวกันก็เปิดทางให้ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ ลำดับ 3 ขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลคนใหม่
ข้อดี คือ คงเสถียรภาพพรรคร่วมรัฐบาลไว้ และลดแรงปะทะในระยะยาวกับเครือข่ายฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ข้อเสียคือ ภาพลักษณ์ของผู้นำที่ “ไม่กล้าสู้” อาจส่งผลทางจิตวิทยาต่อฐานเสียง
3. ยุบสภา : เดิมพันครั้งสุดท้าย
เป็นทางเลือกที่อันตรายและต้องอาศัยความมั่นใจว่า ไม่มีแรงต้านจากเครือข่าย “ฝ่ายอนุรักษ์” เพราะหากมีการเลือกตั้งใหม่ แล้ว พรรคประชาชน หรือ พรรคใหม่สายอนุรักษ์นิยมชนะ พรรคเพื่อไทย อาจไม่ได้กลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลอีกเลย
อย่างไรก็ตาม หาก “ยุบสภา” ก่อนศาลวินิจฉัย ก็มีแนวโน้มว่าศาลอาจไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยคดี เนื่องจาก “แพทองธาร” จะไม่อยู่ในสถานะนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป เช่นเดียวกับกรณีอื่นในอดีต
แต่ข้อเสียของแนวทางนี้คือ “เพื่อไทย” ยังอยู่ในช่วงความนิยมตกต่ำ และการเลือกตั้งใหม่อาจเปิดช่องให้ “พรรคสีส้ม” หรือ “กลุ่มทุนใหม่” เข้ามาทำลายสมดุลอำนาจในสภา
สถานการณ์เร่งให้เลือกทางเดิน
แม้ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาเมื่อใด แต่สัญญาณชัดเจน คือ “พรรคเพื่อไทย” และ “ตระกูลชินวัตร” กำลังถูกกดดันให้ “เลือกทางเดิน” ไม่ช้าเกินไป ก่อนที่เกมการเมืองจะเปลี่ยนฝั่ง
ความเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาล, กระแสข่าวการดูด ส.ส. อดีตผู้สมัคร ส.ส. จากเพื่อไทย ไปสู่ขั้วใหม่ และ “มือมืด” ที่เริ่มเคลื่อนไหว ล้วนเป็นแรงกดดันที่กำลังบีบให้ “นายใหญ่” ต้องเลือกทางออกอย่างใดอย่างหนึ่ง
สถานการณ์ของ “แพทองธาร ชินวัตร” ในเวลานี้ คือ ฉากทดสอบความอยู่รอดของ “ตระกูลชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” ท่ามกลางสัญญาณบีบคั้นจากทั้งภายนอกและภายใน ทางเลือกทุกทางมีราคา หากเดินพลาดเพียงก้าวเดียว อาจหมายถึงการสูญเสียอำนาจอย่างถาวรในเกมการเมืองไทย
เพราะการเมืองไม่ใช่แค่ศิลปะแห่งความเป็นไปได้ หากแต่เป็นศิลปะแห่งการเลือกจังหวะถอนตัวอย่างชาญฉลาด
+++++
ไพ่ลับ“เพื่อไทย”ยุบสภา
สถานการณ์ “สุญญากาศทางอำนาจ” หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ “แพทองธาร ชินวัตร” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปสนทนากับ “ฮุน เซน” เปิดช่องให้การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะเปลี่ยนผ่านที่ไม่แน่นอน โดยกระบวนการพิจารณาคดีอาจลากยาวถึงเดือนกันยายนหรือต้นตุลาคม
ภายใต้ฉากทัศน์ที่คำวินิจฉัยอาจ “ไม่เป็นคุณ” พรรคเพื่อไทยอาจเลือกชิง “ยุบสภา” เปิดทางเลือกตั้งใหม่ โดยหวัง 2 เป้าหมายหลักคือ
1.สกัดมติศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการรีเซ็ตสถานะนายกฯ
2.บีบไม่ให้ภูมิใจไทย-พรรคประชาชน ร่วมมือผลักดันนายกฯ จากขั้วตรงข้าม
ขณะที่การหารือนอกรอบระหว่างฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ระบุว่า “นายกฯ รักษาการ” อาจใช้อำนาจยุบสภาได้ แม้ขัดแย้งกับความเห็นของเลขาธิการกฤษฎีกา ที่มองว่าอำนาจยุบสภาเป็นของ “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” เท่านั้น
อีกหนึ่งสูตรที่ถูกจับตาคือ “รัฐบาลรักษาการ 6 เดือน” ซึ่งเริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นในพรรคร่วมรัฐบาลบางกลุ่ม โดยวางแผนให้เลือก “นายกฯ ขัดตาทัพ” เพื่อนำงบปี 2569 ผ่านสภา จากนั้นยุบสภาและจัดทำประชามติเปิดทางตั้ง ส.ส.ร. แก้รัฐธรรมนูญไปพร้อมกับเลือกตั้งใหญ่
ขณะที่ฝั่งเพื่อไทยเตรียมไพ่สำรองไว้แล้ว หากต้องส่ง “ชัยเกษม นิติสิริ” เป็นนายกฯ ขัดตาทัพ ก็พร้อมเดินหน้า แต่ในทางการเมืองกลับมองว่า ไม่ควรปล่อยให้เกมนำไปสู่การตั้งรัฐบาลใหม่
จึงไม่แปลกที่ “ไพ่ยุบสภา” ถูกหยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง แม้รู้ว่าเสียเปรียบ แต่ดีกว่าปล่อยให้คู่แข่งตั้งรัฐบาลในห้วงสุญญากาศ
รายงานพิเศษ : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4113