KEY
POINTS
เดือนมิถุนายน กลางปี 2568 สถานการณ์ทางการเมืองไทย เดินมาถึงจุดเปราะบางที่สุดนับตั้งแต่ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นบริหารประเทศ ภายใต้คลื่นการเมืองรุมเร้า ทั้งภายในประเทศ และภายนอกประเทศ
โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงสนทนาลับกับ “สมเด็จฮุนเซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่หลุดออกสู่สาธารณะ กลายเป็น “ระเบิดการเมืองลูกใหญ่” ที่สั่นคลอนเสถียรภาพและความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
คลิปเสียงสะเทือนเก้าอี้นายกฯ
คลิปเสียงที่ถูกเผยแพร่ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ผ่านโซเชียลมีเดียของกัมพูชา ปรากฏเสียงสนทนาระหว่างบุคคลที่เชื่อว่าเป็น นายกรัฐมนตรีแพทองธาร และ สมเด็จฮุนเซน โดยมีสาระสำคัญที่ทำให้สังคมไทยตั้งคำถามถึงความเหมาะสม ในการใช้อำนาจรัฐระดับสูง ทั้งในมิติความมั่นคงและการต่างประเทศ
เสียงบางช่วงที่ระบุถึง "เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยบางคนไม่ใช่พวกเรา" ถูกตีความว่าขัดแย้งกับบทบาทหน้าที่ในฐานะผู้นำรัฐบาล อีกทั้งยังมีการเสนอเปิดด่านชายแดน “โดยพลการ” โดยไม่ผ่านกลไกฝ่ายความมั่นคงไทย
แม้ นางสาวแพทองธาร จะออกมายอมรับว่าเสียงดังกล่าวเป็นของตนเองจริง พร้อมชี้แจงว่าเป็น “เทคนิคการเจรจาทางการทูต” เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน แต่ดูเหมือนคำอธิบายนี้จะ “ไม่เพียงพอ” ในสายตาของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ฝ่ายแค้น
ม็อบรวมตัวขับไล่นายกฯ
เช้าวันที่ 19 มิ.ย. 2568 กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ร่วมชุมนุมที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้ “นายกฯแพทองธาร” ลาออกทันที หลังคลิปเสียงสนทนากับ “ฮุนเซน” ถูกเผยแพร่
แกนนำม็อบ นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แถลงเรียกร้องพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล และขอให้ นางสาวแพทองธารกล่าวขอโทษประชาชน ขอโทษประเทศไทย และรับผิดชอบด้วยการลาออกจากนายกฯ และขอให้พี่น้องออกมาแสดงพลังที่ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันอังคารที่ 24 มิ.ย. เพื่อให้นางสาวแพทองธาร และครม.ลาออกทั้งคณะ
“เรืองไกร”ยื่นฟันจริยธรรม
ขณะที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้ายื่นคำร้องต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการ“ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่จากกรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุนเซน
นายเรืองไกร กล่าวหาว่า การพูดคุยกับผู้นำต่างประเทศในลักษณะลับหลังหน่วยงานความมั่นคง อาจเข้าข่าย “ขัดกันแห่งผลประโยชน์” และเป็นเหตุให้ขาดความซื่อสัตย์สุจริตในตำแหน่งรัฐมนตรี
“ภูมิใจไทย”สบช่องลาออก
กระแสคลิปเสียงไม่ได้ส่งผลแค่ระดับตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมถึงเสถียรภาพรัฐบาล เมื่อ “พรรคภูมิใจไทย” ฉวยโอกาสชิงลาออกจากรัฐบาล อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 18 มิ.ย. 2568 ก่อนที่จะถูก “เขี่ยออก”
หลัง พรรคเพื่อไทย ขีดเส้น 48 ชั่วโมง ให้ พรรคภูมิใจไทย คืนเก้าอี้ รมว.มหาดไทย (มท.1) แลกกับตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข และ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งครบกำหนดเวลา 15.00 น.ของวันที่ 19 มิ.ย. แต่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ไม่ยินยอม และประกาศ “พร้อมเป็นฝ่ายค้าน”
เสถียรภาพรัฐบาลง่อนแง่น
หลังจากที่พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจาก “รัฐบาลแพทองธาร” ไปอยู่ฝั่งฝ่ายค้านแล้ว ณ วันที่ 19 มิ.ย. 2568 สรุปจำนวนเสียงในสภาได้ดังนี้
ปัจจุบันมี สส. อยู่ทั้งหมด 495 คน เกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุมสภาฯ คือ 248 เสียง
ก่อนหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) จะลาออก ฝ่ายรัฐบาล มี สส.อยู่ 324 เสียง เมื่อหักเสียง 69 เสียงของ ภท.ออกไป รัฐบาลเหลือ 255 เสียง
หากรวม “สส.งูเห่า” ที่รัฐบาลกำลังจะดูดมา 6 เสียง จะเป็น 261 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุม (248 เสียง) เพียง 13 เสียง
สถานการณ์เช่นนี้ถือว่าเสียงรัฐบาล “ปริ่มน้ำ” มาก ดังนั้น ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาลจะหา “งูเห่า” มาเติมเสียงฝ่ายรัฐบาลได้อีกมากน้อยแค่ไหน
ขณะที่ฝ่ายค้าน ก่อนหน้านั้น มี 171 เสียง เมื่อรวมพรรคภูมิใจไทย เข้าไปด้วย จะเพิ่มเป็น 234 เสียง
แรงกดดันลาออก-ยุบสภา
แรงกดดันทางการเมืองต่อรัฐบาล “แพทองธาร” ทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดย พรรคพลังประชารัฐ ก็เริ่มออกมา “ทบทวนจุดยืน” ต่อบทบาทผู้นำรัฐบาล เช่นเดียวกับเสียงจากพรรคฝ่ายค้านและภาคประชาชนที่เรียกร้องให้มีความรับผิดชอบทางการเมือง
บางฝ่ายเสนอทางออก 2 ทางแก่ นางสาวแพทองธาร คือ ลาออก เพื่อเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อบุคคลอื่นในบัญชีรายชื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เช่น นายชัยเกษม นิติสิริ และ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินอนาคตของรัฐบาล
กรณีคลิปเสียง “ฮุนเซน” และการถอนตัวจากรัฐบาล ของ “ภูมิใจไทย” นำไปสู่จุดเปราะบางของรัฐบาล ที่อาจส่งผลสะเทือนต่อเก้าอี้นายกฯ ของ “แพทองธาร ชินวัตร” ได้ทุกขณะ...