"ณัฐพงษ์"ประกาศไม่มีวันจับมือภูมิใจไทยดัน“อนุทิน"เป็นนายกฯ

วันที่ 20 มิถุนายน 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีทางการเมืองของพรรค หลังสถานการณ์ร้อนแรงจากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่า ความเชื่อมั่นต่อผู้นำรัฐบาลได้สูญสลายไปในสายตาประชาชน การลาออกอาจไม่ใช่คำตอบในสมการที่เป็นอยู่ ทางออกเดียวที่ถูกต้อง คือ การยุบสภาและคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า แม้จะมีบัญชีแคนดิเดตนายกฯ เหลืออยู่หลายชื่อ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปกองทัพ ปรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น แม้จะเปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ได้รัฐบาลชุดเดิม ย่อมไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้

พร้อมกันนี้ ยังปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่า พรรคประชาชนอาจจับมือกับพรรคภูมิใจไทยเพื่อตั้งรัฐบาล และสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวชัดว่า “ไม่มีแน่นอน” พรรคยังคงยืนยันบทบาทฝ่ายค้าน และไม่สนับสนุนใครในรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ขณะนี้

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของพรรคร่วมรัฐบาลว่า ขณะนี้เน้นการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีมากกว่าการหาทางออกให้กับประเทศ พร้อมระบุว่า การเมืองไทยวนเวียนอยู่กับวัฏจักรการแบ่งผลประโยชน์ แทนที่จะผลักดันนโยบายเพื่อประโยชน์ของประชาชน

เมื่อถามถึงท่าทีฝ่ายค้าน นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ฝ่ายค้านเตรียมพร้อมตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ และอาจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา 

ส่วนในประเด็นเรื่อง “งูเห่า” ที่มีการกล่าวอ้างว่า อาจซ่อนอยู่ในพรรคฝ่ายค้านบางพรรค หัวหน้าพรรคประชาชนยืนยันว่า ไม่มีงูเห่าในพรรค พร้อมท้าให้เปิดชื่อหากมีหลักฐาน ย้ำความมั่นใจในเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของพรรค

ส่วนกระแสการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี เช่น การเดินทางไปพบแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อสยบรอยร้าวกับกองทัพ นายณัฐพงษ์ เห็นว่า เป็นหน้าที่ของผู้นำพลเรือนที่จะต้องนำกองทัพ ไม่ใช่พึ่งพาอำนาจนอกระบบ พร้อมเตือนว่า ไม่ควรฉวยโอกาสปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาจริง

นายณัฐพงษ์ เน้นย้ำว่า หากประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง คำตอบเดียวคือ การเลือกตั้งใหม่ โดยให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดอนาคตของประเทศด้วยเสียงของตนเอง ไม่ใช่การเปลี่ยนตัวนายกฯ ผ่านดีลการเมืองแบบเดิมๆ