จากประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นกรณีที่ แพทยสภา มีมติยืนยันลงโทษแพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้องกับการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยยืนยันมติเดิมด้วยจำนวน 2 ใน 3 หรือ มากกว่า 60 เสียงจากจำนวนเสียงทั้งหมด 70 เสียง
บทสรุปที่สังคมได้รับทราบกันไปแล้วแต่หากย้อนกลับไปดูช่วงก่อนหน้านี้มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยโดยก่อนจะมีการประชุมประจำเดือนมิถุนายน 2568 ของคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อประชุมลงมติว่า จะยืนยันลงโทษแพทย์ทั้ง 3 รายหรือไม่ หลังจากที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ส่งหนังสือวีโต้กลับมาให้แพทยสภาพิจารณาอีกครั้งนั้น
มีรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้มีหนังสือที่ 0100/2120 ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหารือ เรื่อง การเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาและออกเสียงยืนยันมติที่วินิจฉัยชี้ขาดลงโทษทางด้านจริยธรรม : กรณีกรรมการแพทยสภาซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการการกลั่นกรองจริยธรรม โดยมีรายละเอียดปรากฏ ดังนี้
กระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือ ที่ สธ 0100/2120 ลงวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ถึงสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า นายกแพทยสภาได้ส่งคําวินิจฉัยลงโทษ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ถูกกล่าวโทษว่าได้กระทําการอันเป็นการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม จํานวน 4 ราย ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาเพื่อดําเนินการตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาพิจารณาผลการลงโทษของคณะกรรมการแพทยสภาดังกล่าว
มีความเห็นว่า เห็นควรยับยั้งมติของคณะกรรมการแพทยสภาซึ่งลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมดังกล่าว จํานวน 3 ราย และส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อดําเนินการพิจารณาความเห็นของสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา อีกครั้งหนึ่ง โดยในการประชุมนั้นถ้ามีเสียงยืนยันมติไม่น้อยกว่าสองในสามของจํานวนกรรมการทั้งคณะก็ให้ดําเนินการตามมตินั้นได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 25 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ
อย่างไรก็ดี ตามกระบวนการในการพิจารณาและลงโทษทางจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมก่อนการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อวินิจฉัยนั้น เมื่อมีผู้กล่าวหาหรือกล่าวโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมรายใด จะมีการเสนอเรื่อง ต่อคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมเพื่อสอบสวนและแสวงหาข้อเท็จจริง และเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการแพทยสภาว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูลหรือไม่
หากคณะกรรมการแพทยสภาเห็นว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูลให้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการสอบสวนเพื่อดําเนินการสอบสวน สรุปผลการสอบสวน และเสนอสํานวนการสอบสวน พร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด
ทั้งนี้ ตามมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 35 และมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ ประกอบกับข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2563 นอกจากนี้ในขั้นตอนการเสนอและการพิจารณาเรื่องดังกล่าวจะต้องเสนอเรื่องให้ "คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม" ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการที่แพทยสภาแต่งตั้งจํานวนไม่เกิน 15 คน โดยแต่งตั้งจากกรรมการแพทยสภาและผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เป็นสมาชิกแพทยสภา ทําหน้าที่พิจารณารายงานความเห็นของคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมและสรุปสํานวนและความเห็นของคณะอนุกรรมการสอบสวน ตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ และเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อพิจารณา พร้อมรายละเอียด
ทั้งนี้ ตามข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยโครงสร้างการบริหารของคณะกรรมการ แพทยสภา พ.ศ. 2547 ซึ่งการพิจารณาผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนเพื่อลงโทษผู้ ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจํานวน 4 รายดังกล่าว ปรากฏข้อเท็จจริงจากบันทึกรายงานการประชุม คณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 สรุปความได้ว่า
คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม เสนอความเห็นว่า สมควรลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในรายดังกล่าวแตกต่างไปจากความเห็นของคณะอนุกรรมการสอบสวน กล่าวโดยเฉพาะ คือ ผู้ถูกร้องที่ 3 คณะอนุกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่า ควรลงโทษผู้ถูกร้อง "ภาคทัณฑ์" แต่คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมเห็นว่า ควรลงโทษโดยไม่มีเหตุปรานี "พักใช้ใบอนุญาต มีกําหนดเวลาสามเดือน" และในรายผู้ถูกร้องที่ 4 คณะอนุกรรมการสอบสวนโดยมติเสียงข้างมาก เห็นว่า ผู้ถูกร้องมิได้กระทําผิดจริยธรรมและมีมติยกข้อกล่าวโทษแต่ในชั้นการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม เสนอความเห็นว่า การกระทําของผู้ถูกกล่าวโทษเป็นความผิดจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามที่ถูกกล่าวหาและสมควรลงโทษ "พักใช้ใบอนุญาตมีกําหนดเวลาหกเดือน"
กระทรวงสาธารณสุข จึงขอหารือว่า ในกระบวนการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยการประพฤติผิดจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมดังกล่าว เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภามีความเห็นยับยั้งมติของคณะกรรมการแพทยสภาซึ่งลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมดังกล่าวและส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อประชุม ยืนยันมติดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งตามมาตรา 25 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม ฯ แล้ว
ในการประชุมของคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อประชุมยืนยันมตินั้น กรรมการแพทยสภาซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมและเคยพิจารณาและให้ความเห็นต่อคณะกรรมการแพทยสภาในการวินิจฉัยลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมรายดังกล่าวมาก่อน จะถือว่าเป็นกรณีอันเกี่ยวกับกรรมการในคณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทําให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางหรือไม่ และกรรมการแพทยสภาเหล่านั้น จะสามารถเข้าร่วมประชุมและลงมติตามมาตรา 25 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ ที่จะมีขึ้นต่อไปได้หรือไม่ อย่างไร
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (สํานักงานปลัดกระทรวง) และผู้แทนแพทยสภา เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงและผู้แทนของทั้งสองหน่วยงานขอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาเรื่องนี้ โดยด่วนที่สุดเพื่อนําไปประกอบการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ซึ่งคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรอนุโลมตามคําขอเพื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติงานของทั้งสองหน่วยงานดังกล่าว
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้พิจารณาข้อหารือนี้แล้ว เห็นว่า มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพียงประเด็นเดียวว่า กรณีที่สภานายกพิเศษแห่งแพทยสภายับยั้งมติของคณะกรรมการแพทยสภาที่วินิจฉัยชี้ขาดลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อประชุมยืนยันมติดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งตามมาตรา 25 วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ นั้น
กรรมการแพทยสภาซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมและเคยพิจารณาและให้ความเห็นต่อคณะกรรมการแพทยสภาเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมรายดังกล่าวมาก่อน จะถือว่า เป็นกรรมการในคณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทําให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง ตามมาตรา 16 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 หรือไม่ และกรรมการแพทยสภาดังกล่าวจะสามารถเข้าร่วมประชุมและออกเสียงยืนยันมติตามมาตรา 25 วรรคสี่แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ ได้หรือไม่นั้น
เห็นว่า มาตรา 21 (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้คณะกรรมการแพทยสภามีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทํากิจการหรือพิจารณาเรื่องต่าง ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ของแพทยสภา โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมเป็นคณะอนุกรรมการที่แพทยสภาแต่งตั้ง ตามข้อ 3 บทนิยามคําว่า "คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม" แห่งข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วย โครงสร้างการบริหารของคณะกรรมการแพทยสภา พ.ศ. 2547 ซึ่งออกโดย อาศัยอํานาจตามความใน มาตรา 21 (3) (ฎ) แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรมฯ
โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม จะแต่งตั้งจากกรรมการแพทยสภาซึ่งมาจากคณะอนุกรรมการบริหารไม่เกิน 3 คน กรรมการแพทยสภาซึ่งได้จากการเสนอชื่อของคณะกรรมการแพทยสภาไม่น้อยกว่า 3 คน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นสมาชิกแพทยสภาซึ่งได้จากการเสนอชื่อของคณะกรรมการแพทยสภาไม่เกิน 3 คน รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 15 คน และอาจแต่งตั้งได้ไม่เกิน 3 ชุด
ทั้งนี้ ตามข้อ 7 แห่งข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยโครงสร้างการ บริหารของคณะกรรมการแพทยสภาฯ โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมมีหน้าที่พิจารณารายงานความเห็นของคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมและสรุปสํานวนสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรมตามที่ได้รับมอบหมายจาก คณะกรรมการแพทยสภา
ทั้งนี้ ตามข้อ 8 แห่งข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยโครงสร้างการบริหารของคณะกรรมการแพทยสภาฯ ซึ่งเป็นการใช้อํานาจของคณะกรรมการแพทยสภาในการออกข้อบังคับจัดตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเพื่อช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการแพทยสภาตามที่คณะกรรมการแพทยสภามอบหมาย โดยข้อบังคับดังกล่าวกำหนดให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม ต้องประกอบด้วย กรรมการแพทยสภาจํานวนหนึ่งเป็นอนุกรรมการเพื่อกลั่นกรองและเสนอความเห็นเรื่องที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการแพทยสภาซึ่งมีกรรมการเป็นจํานวนมากอันมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํางาน ในทํานองเดียวกับคณะอนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมและคณะอนุกรรมการสอบสวน ไม่ใช่องค์กรที่ทําหน้าที่ตรวจสอบหรือทบทวนการออกคําสั่ง หรือคําวินิจฉัยของคณะกรรมการแพทยสภา
ทั้งนี้ ตามนัยความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่อง เสร็จที่ 860/2557 และเรื่องเสร็จที่ 1795/2559 และความเห็นคณะกรรมการวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครองในเรื่องเสร็จที่ 682/2568
ดังนั้น กรรมการแพทยสภาซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมจึงเป็นการดํารงตําแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับซึ่งออกตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพื่อช่วยคณะกรรมการแพทยสภาในการกลั่นกรองและทําความเห็นประกอบการพิจารณาลงมติของคณะกรรมการแพทยสภา
กรณีดังกล่าว จึงไม่เป็นเหตุซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทําให้การพิจารณาออกเสียงลงมติและการออกเสียงยืนยันมติของกรรมการแพทยสภาผู้นั้นไม่เป็นกลาง ตามมาตรา 16 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ