ครม.ตั้ง “รมช.กลาโหม" คุมศูนย์ ศบ.ทก รักษาอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา

17 มิ.ย. 2568 | 05:15 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มิ.ย. 2568 | 05:23 น.

มติครม.ล่าสุด เห็นชอบตั้ง "ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา" โดยมี "พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม" พร้อมด้วยผบ.เหล่าทัพ เป็นทีมรักษาอธิปไตย แก้ไขความตึงเครียดแนวชายแดนกับกัมพูชา

วันนี้ (17 มิถุนายน 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รายงานสถานการณ์ ไทย -กัมพูชาให้กับที่ประชุมรับทราบถึงการแก้ไขปัญหา ทั้งระดับหน้างาน หรือชายแดนที่นายกรัฐมนตรีได้เคยมอบหมายให้กองทัพที่รับผิดชอบดำเนินการต่อไปตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา 

 

โดยมีทั้งหน้างานชายแดน ยังมีส่วนของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ต้องประชุมเพื่อขออนุมัติดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นตามสถานการณ์ทุกวัน  

จึงได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา (ศบ.ทก. ) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ขึ้น เพื่อบูรณาการการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา

 

โดยมุ่งหมายที่จะแก้ไขความตึงเครียดและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนกับกัมพูชาอย่างมิตรประเทศ ที่ใฝ่สันติจะพึงปฏิบัติต่อกัน บนหลักการทวิภาคีและด้วยสันติวิธีเคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค และบูรณภาพแห่งดินแดน

รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชน ซึ่งนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา เรียกโดยย่อว่า "ศบ.ทก." ประกอบด้วย

 

  1. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
  2. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ 
  3. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
  4. ปลัดกระทรวงมหาดไทย
  5. ปลัดกระทรวงกลาโหม
  6. ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  7. ปลัดกระทรวงพาณิชย์
  8. ปลัดกระทรวงแรงงาน
  9. เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 
  10. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา 
  11. ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ 
  12. ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
  13. ผู้บัญชาการทหารบก
  14. ผู้บัญชาการทหารเรือ
  15. ผู้บัญชาการทหารอากาศ
  16. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
  17. อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์
  18. อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
  19. อธิบดีกรมสารนิเทศ
  20. อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก
  21. โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  22. พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริรองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย
  23. นายวรณัฐ คงเมือง  รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ 
  24. ผู้แทนหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พิจารณา 
  25. ผู้ช่วยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
  26. เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร
  27. ผู้แทน กระทรวงการต่างประเทศ

 

นายจิรายุ กล่าวว่า ศบ.ทก. มีหน้าที่และอำนาจติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ กลั่นกรอง และประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา อย่างใกล้ชิด ทุกเวลาและให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการที่จำเป็นเพื่อเป็นประโยชน์ในการบริหาร สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี 

 

รวมทั้งร่วมกันบูรณาการการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ให้มีความเป็นเอกภาพ และเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ต่อสาธารณชน

 

ทั้งนี้ ให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือมอบหมายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และรายงานผลการปฏิบัติงานและการบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี เพื่อทราบเป็นระยะ 

 

รวมถึงการดำเนินการอื่นใดตามที่นายกฯ หรือครม. มอบหมายดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้คำนึงถึงความมุ่งหมายที่จะแก้ไขความตึงเครียดและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนกับประเทศกัมพูชาให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ อย่างเช่นมิตรประเทศที่ใฝ่สันติจะพึงปฏิบัติต่อกันบนหลักการทวิภาคีอย่างเท่าเทียม และด้วยสันติวิธี เคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และเอกลักษณ์ของทั้งสองประเทศ และโดยปราศจากการแทรกแซงของประเทศที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศทั้งปวง 

 

ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ให้ผู้อำนวยการศูนย์รายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ และมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งนี้ โดยคณะกรรมการ ศบ.ทก.จะประชุมนัดแรก วันนี้ เวลา 13.30 น.ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ

 

นอกจากนี้ที่ประชุมครม.ยังรับทราบรายงานสถานการณ์คนไทยในประเทศอิสราเอล และอิหร่าน โดย กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงแรงงาน ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสถานเอกอัครราชทูตทั้ง 2  ประเทศ ในการดูแลและเตรียมความพร้อมในทุกมิติ หากมีความจำเป็นต้องอพยพ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีความพร้อมตลอดเวลา ซึ่งได้รับรายงานว่า คนไทยใน 2 ประเทศ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บต่อการโจมตีแต่อย่างใด แต่ให้เตรียมการไว้ให้พร้อมตลอดเวลา