"ดร.ณัฏฐ์"ฟันธงข้อบังคับพรรค รทสช. ฉบับใหม่ ส่อขัด รธน. ใช้ไม่ได้

03 มิ.ย. 2568 | 07:49 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มิ.ย. 2568 | 08:23 น.

"ดร.ณัฏฐ์" ชี้ข้อบังคับพรรค รทสช. ฉบับแก้ไขใหม่ ที่ให้สมาชิกพรรคสิ้นสุดลงเพราะเหตุ เห็นต่าง-ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่น ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ใช้บังคับไม่ได้

สถานการณ์ภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่สนับสนุน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. กับ กลุ่มของ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค รทสช. ที่เตรียมย้ายออกจากพรรค รทสช. ไปร่วมกับพรรคการเมืองใหม่ชื่อ “พรรคโอกาสใหม่” นั้น 

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชน อันเป็นประโยชน์สาธารณะว่า การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคิ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

กรณีที่ประชุมใหญ่สามัญพรรครวมไทยสร้างชาติ ประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ พรรครวมไทยสร้างชาติ พ.ศ. 2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 นั้น 

สิ่งที่ต้องพิจารณาว่า ข้อบังคับพรรคชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนี้ 

(1) ข้อบังคับพรรค รสทช. ต้องผ่านมติที่ประชุมใหญ่ ต้องย้อนไปตรวจสอบว่า รายงานการประชุมที่ระบุไว้ กับบุคคลที่เข้าร่วมประชุมพรรค ครบถ้วนตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองหรือไม่ 

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายว่า การแก้ไขข้อบังคับพรรคฉบับใหม่ ต้องกระทำผ่านที่ประชุมใหญ่สามัญหรือวิสามัญ ก็ได้ หมายความว่า ต้องเป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง และต้องมีวาระการประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรค โดยสมาชิกพรรคต้องได้อ่านเนื้อหาก่อนมีมติเห็นชอบ  ไม่ได้

หมายความว่า หัวหน้าพรรค กระทำลับลวงพราง และไม่มีในวาระการประชุม 
ดังนั้น ตามที่ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. นำไปประกาศข้อบังคับใหม่ ต้องย้อนกลับไปตรวจสอบว่า การประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2568 เป็นไปตามเงื่อนไขตาม พ.ร.ป.พรรคการเมืองหรือไม่  หากไม่ครบเงื่อนไข การประชุมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นโมฆะ ส่งผล การแก้ไขข้อบังคับพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

(2) ในส่วนข้อบังคับพรรคที่แก้ไขใหม่ ประเด็น การสิ้นสภาพความเป็นสมาชิกพรรค เป็นกรณีมีความเห็นต่าง-ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่น หากเป็น สส. การสิ้นสภาพ สส.จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ  

ดร.ณัฏฐ์ ชี้ว่า ข้อบังคับพรรค ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและไม่ขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติถึงกรณีสมาชิกภาพความเป็น สส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (9)  กรณีขับออก มติพรรค ต้องประกอบด้วย เสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมของ กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และ สส.ที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น   

แต่กรณีข้อบังคับพรรคใหม่ ให้สิ้นสภาพเป็นสมาชิกพรรค ย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะการสิ้นสภาพสมาชิกพรรค กรณีมีความเห็นต่าง-ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่น ตนไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใดนำมาเขียนไว้ในข้อบังคับพรรค เพราะเสรีภาพความเป็นสมาชิกพรรค เป็นเสรีภาพของพี่น้องประชาชน 

แต่มีผลกระทบต่อสถานะสมาชิกภาพความเป็น สส.ตามรัฐธรรมนูญ

หากพิจารณาข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 ในข้อ 53 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 จะเห็นได้ว่าเป็นลักษณะมัดมือชก แตกต่างจากทุกพรรคการเมืองในประเทศไทย 

นายแสวง บุญมี ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ควรตรวจสอบก่อนส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา รัฐธรรมนูญ มาตรา 101(9) กรณีสมาชิกพรรคนั้น มีสถานะความเป็น สส. หากเห็นต่าง ทำให้แตกแยก หรือ ฝักใฝ่พรรคการเมือง ทำให้สิ้นสมาชิกภาพนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 

ดร.ณัฏฐ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า การพ้นสมาชิกพรรค ต้องเป็นกรณี ตาม พรป.พรรคการเมือง และไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แตกต่างกับการขับออก ต้องเป็นการประชุมร่วม ระหว่าง กก.บห. และ สส. ด้วยเสียง 3 ใน 4 จึงจะพ้นจากสมาชิกพรรค และ สส.ยังไม่สิ้นสมาชิกภาพ แต่พ้นสภาพสมาชิกพรรค ทำให้สถานะ สส.สิ้นสุดลง 

ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มิใช่ระบบเผด็จการในพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 ข้อ 53 ที่แก้ไขใหม่ มีลักษณะขัดต่อ พรป.พรรคการเมือง และรัฐธรรมนูญ

หาก กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ประกาศย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ย่อมไม่ทำให้สถานะ สส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ

                                "ดร.ณัฏฐ์"ฟันธงข้อบังคับพรรค รทสช. ฉบับใหม่ ส่อขัด รธน. ใช้ไม่ได้    "ดร.ณัฏฐ์"ฟันธงข้อบังคับพรรค รทสช. ฉบับใหม่ ส่อขัด รธน. ใช้ไม่ได้

ก่อนหน้านั้น มีรายงานว่า นายพีระพันธุ์ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งมีผลบังคับใช้และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568

โดยยกเลิกความในข้อ 53 ของข้อบังคับพรรครวมไทยสร้างชาติ พ.ศ. 2563 และ ให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้แทน “ข้อ 53 ระบุว่า สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคสิ้นสุดลง เมื่อผู้นั้นขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคในกรณี….โดยมีสาระสำคัญใน

(5) คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค เพราะกระทำผิดวินัย หรือมาตรฐานทางจริยธรรม หรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง หรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และความรับผิดชอบต่อพรรคการเมือง ตามข้อ 55 หรือกระทำความผิดกฎหมายร้ายแรง หรือมีเหตุร้ายแรงอื่น

(6) ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่นหรือสนับสนุนผู้สมัครในตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ที่ไม่ใช่ของพรรคการเมือง

(7) กระทำการใดที่ทำให้เกิดความแตกแยก หรือความเป็นเอกภาพในพรรคการเมือง หรือการบริหารพรรคการเมือง รวมทั้งสนับสนุนหรือส่งเสริมการกระทำเช่นว่านั้น

ทั้งนี้ หาก นายพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรค เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อบังคับโทษใหม่ มีความเป็นไปได้ว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมีเหตุสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคสิ้นสุดลง

หลังเกิดเคลื่อนไหว นัด สส.พรรคร่วมไทยสร้างชาติ รับประทานอาหารที่โรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ร่วมกับ สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ รวม 20 คน เพื่อจะนำสส.ในกลุ่ม ย้ายไปอยู่กับพรรคการเมืองที่จัดตั้งใหม่ชื่อ “พรรคโอกาสใหม่ ”

นายสุชาติ ให้สัมภาษณ์ยอมรับเตรียมขนสส.ไปซบ พรรคโอกาสใหม่ ขณะที่ นายธงชัย ลืออดุลย์ เลขาธิการพรรคโอกาสใหม่ ก็ให้สัมภาษณ์เช่นกันว่า มีการเปิดเจรจา กับ นายสุชาติ

ขณะที่เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น ก็ได้ร่วมวงกาแฟ กับ ส.ส.ภาคใต้ทั้งหมดของพรรค รทสช. ประกอบด้วย สส.ชุมพร  3 คน คือ นายวิชัย สุดสวาสดิ์ เขต 1  นายสันต์ แซ่ตั้ง เขต 2 นายสุพล จุลใส เขต 3 และ สส.นครศรีธรรมราช คือ พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เขต 10