*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,094 ระหว่างวันที่ 8-10 พ.ค. 2568 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** อ่าว ๆ ทำเป็นเล่นไป ที่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดีไม่ดีอาจกลายเป็น “เรื่องใหญ่” ปิดฉากอนาคตทางการเมืองเอาได้นะเออ...เรื่องที่ “ว.เชิงดอย” กำลังพูดถึง เป็นกรณีของ “รัฐมนตรี” ระดับกระทรวงเกรดเอ รายหนึ่งในรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ที่กำลังถูก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวน กล่าวหาว่า ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม กรณีแจกถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งได้รับการสนับสนุนมาจากรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง แต่กลับมีการติดสติกเกอร์ป้ายชื่อตัวเอง พร้อมกับหน้าตัวเองข้างถุง นอกจากนี้ ภายในถุงยังชีพดังกล่าวยังใส่ถุงข้าวสารของตัวเองลงไปด้วย ขณะเดียวกันได้ลงพื้นที่ไปแจกถุงยังชีพนี้หลายพื้นที่ด้วยกัน
*** ข้อกล่าวหาบุว่า กรณีนี้ส่อเข้าข่ายกระทำการ ตามมาตรา 17 แห่ง มาตรฐานทางจริยธรรม ของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารง ตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ที่บัญญัติว่า ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง
กรณีภายหลังมีการร้องเรียน สำนักงาน ป.ป.ช.ได้ไต่สวนเบื้องต้น พร้อมกับเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณา โดยเห็นว่าข้อกล่าวหามีมูล ต่อมาคณะไต่สวนคดีดังกล่าว ได้เชิญ “รัฐมนตรี” รายนี้ เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 พ.ค. 2568 นี้ และให้ใช้สิทธิ์ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เพื่อประกอบข้อเท็จจริงในสำนวน ก่อนจะสรุปสำนวนเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.อีกครั้ง หากพบว่ามีมูลความผิดตามที่ถูกกล่าวหา จะส่งสำนวนฟ้อง “ศาลฎีกา” เพื่อพิจารณาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และถอดถอนจากตำแหน่งต่อไป ...สำหรับโทษตามความผิดฐานมาตรฐาน “จริยธรรร้ายแรง” นั้น หากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ หรือ กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าว ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
*** อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2568 พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ป.ป.ช. จะเรียก “รัฐมนตรี” รายหนึ่งไปรับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนจริยธรรม กรณีถูกกล่าวหาว่าแจกถุงยังชีพติดสติกเกอร์และรูปตัวเอง ว่า “ไม่มีปัญหาหรอก” ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้ ป.ป.ช.ได้แจ้งมาแล้วหรือยัง นายพีระพันธุ์ ตอบว่า ไม่ได้แจ้ง ยังไม่ทราบ แต่รู้เรื่องแล้ว “เพราะมันกลั่นแกล้งมาตั้งนานแล้ว” เมื่อถามย้ำว่าจะไปตามที่ ป.ป.ช.เชิญใช่หรือไม่ กล่าวว่า “เขาเชิญเราก็ต้องไป”
*** กรณีของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ถูกกล่าวหา แจกถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งได้รับการสนับสนุนมาจากรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง และมีการติดสติกเกอร์ป้ายชื่อตัวเอง พร้อมกับหน้าตัวเองข้างถุงที่แจกนั้น “ว.เชิงดอย” ได้เห็น “คลิป” แล้ว ก็เป็นจริงดังว่า ส่วนจะถึงขั้นเอาผิดเจ้าตัวได้หรือไม่ ต้องรอฟังการแถลงชี้แจงรายละเอียดจากทั้ง “ผู้ถูกกล่าวหา” และ ป.ป.ช. ที่ดำเนินการไต่สวน และจะต้องสรุปสำนวนออกมา ก็คงต้องรอคำตอบจาก “ป.ป.ช.” ว่า “นักกฎหมาย”ผู้นี้จะ “ตายน้ำตื้น” หรือไม่???
*** อ่อ...นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2568 สนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ไปยื่นร้องเรียนต่อ สำนักงานป.ป.ช. ให้ไต่สวนตรวจสอบ นายพีระพันธุ์ 2 กรณี คือ 1. มีการอ้างถึงองคมนตรี ซึ่งเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 หรือไม่ 2. ประเด็นการถือหุ้นอยู่ในบริษัท จำนวน 3 บริษัท หลังจาก นายพีระพันธุ์ รับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2566 โดย เรียกร้องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 และมาตรา235 เพื่อไต่สวนและมีความเห็น ว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 (4) (5) และ มาตรา 219 การกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อจริยธรรมร้ายแรง ในข้อที่ 7 ข้อที่ 8 ข้อที่ 11 ข้อที่ 17 ข้อที่ 21 ประกอบข้อที่ 27 หากมีการกระทำการดังกล่าว ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ก็ให้ ป.ป.ช. ดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 235 ต่อไป
*** สนธิญา อธิบายถึงเรื่องร้องเรียนว่า กรณีที่ นายพีระพันธุ์ กล่าวถึง DNA ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ในหลายโอกาส รวมทั้งเพจของพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือบุคคลอื่นบุคคลใดก็ตามที่กล่าวถึงองคมนตรี ขณะนี้สถานะขององคมนตรีเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 12 ดังนั้น องคมนตรีไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือพรรคการเมืองได้ แม้จะรัก เคารพ หรือนับถือกันมากเท่าใด แต่ไม่สามารถดึงองคมนตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ หากยังกระทำต่อไป ตนถือว่าการกระทำเหล่านั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
*** ส่วนประเด็นที่ 2 กรณีที่ นายพีระพันธุ์ ถูกกล่าวหาว่า เป็นกรรมการบริหาร และมีส่วนการพิจารณาหรือตัดสินใจ มีในหลานบริษัท หากเป็นเช่นนี้ กระบวนการจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 170(4) มาตรา 160(5) และมาตรา 179(9) เพราะกรณีการเป็นกรรมการบริหารในบริษัทเอกชน หรือ ถือหุ้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหาร ต้องลาออกก่อนดำรงตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งหลังจากที่ตรวจสอบ ขณะนี้บางบริษัทยังมีชื่อ นายพีระพันธุ์ ดำรงตำแหน่งอยู่ หาก ป.ป.ช.ตรวจสอบและวินิจฉัยอย่างชัดเจน ว่า นายพีระพันธุ์ ยังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทเอกชนเหล่านั้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ที่เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 219
...ทั้งมีข้อมูลยืนยันว่า นายพีระพันธุ์ ยังคงเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามอยู่ใน บริษัท รพีโสภาค จำกัด ที่ตนเองเคยถือหุ้นอยู่กว่า 73.33% ซึ่งรัฐธรรมนูญได้บัญญัติเป็นคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็นเจ้าของ หรือถือครองหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ในมาตรา 98(3) และห้ามรัฐมนตรีถือครองหุ้นในห้างหุ้นส่วนและบริษัท รวมถึงห้ามเป็นลูกจ้างอีกด้วย โดยบัญญัติห้ามไว้ในมาตรา 187
...ทั้ง 2 เรื่อง ที่มีการกล่าวหา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ยังถือว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” จนกว่าจะมีการตรวจสอบ พิสูจน์ เสร็จสิ้น และคดีถึงที่สุด ... คงต้องใช้เวลา กว่าทั้ง 2 เรื่องจะมีบทสรุปออกมา ...เจอเข้าไปพร้อมกัน 2 เรื่อง มารอลุ้นกันว่า “นักกฎหมาย” รายนี้จะเอาตัวรอดไปได้หรือไม่? ถ้า “ตายน้ำตื้น” ขึ้นมา คงมีผลกระทบไปถึง “รัฐบาลแพทองธาร” ที่ต้อง “ปรับ ครม.” อย่างหลีกเลี่ยงมิได้...
++