สามองค์กรตำรวจ ได้แก่ สมาคมตำรวจ, สมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และ ชมรมพนักงานสอบสวนตำรวจ ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาชน โดยเห็นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญที่อาจละเมิดหลักการถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรม และเพิ่มขั้นตอนโดยไม่จำเป็น ทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการสอบสวนคดีอาญา
เสี่ยงคดีสำคัญข้อมูลรั่ว-พยานไม่ปลอดภัย
หนึ่งในข้อคัดค้านสำคัญของฝ่ายตำรวจ คือ การที่ร่างกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้พนักงานสอบสวนต้อง “แจ้งเหตุต่อฝ่ายปกครองและอัยการทันที” เมื่อพบการกระทำผิด ซึ่งองค์กรตำรวจมองว่า เป็นการเปิดช่องให้ข้อมูลในคดีสำคัญรั่วไหลตั้งแต่ขั้นต้น ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของพยาน ผู้เสียหาย และแม้แต่ชื่อเสียงของผู้ต้องหาที่ยังไม่ได้พิสูจน์ความผิดในศาล
นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นว่า การสืบสวนซึ่งเป็นกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงเชิงลึกเพื่อป้องกันอาชญากรรม ต้องดำเนินไปอย่างสงบและไม่เปิดเผย เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการระงับเหตุ หากต้องมีขั้นตอนขอ “อนุมัติ” จากอัยการหรือฝ่ายปกครองก่อน อาจเป็นอุปสรรคต่อการคลี่คลายคดีอย่างทันท่วงที
ค้านอัยการเห็นชอบก่อนออกหมายเรียก-จับ
องค์กรตำรวจทั้งสามยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้การออกหมายเรียก หมายจับ หมายค้น หรือ หมายขัง ต้องได้รับความเห็นชอบจากอัยการก่อน โดยระบุว่า ปัจจุบันกระบวนการเหล่านี้ อยู่ภายใต้การกลั่นกรองของศาล ซึ่งเป็นอำนาจตุลาการอยู่แล้ว การเพิ่มบทบาทอัยการให้ต้อง “รับรอง” ก่อน ย่อมก่อให้เกิดขั้นตอนซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น ทำให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมล่าช้า และกลายเป็นภาระต่อพนักงานสอบสวน
ขัดเจตนารมณ์รธน.-หลักแยกอำนาจ
แถลงการณ์ยังระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 258 (ง)(2) ซึ่งบัญญัติให้มี “การตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม” การให้อัยการมีอำนาจควบคุมและสั่งการสอบสวน ถือเป็นการทำลายหลักการแยกอำนาจ ที่เป็นหัวใจของกระบวนการยุติธรรมก่อนฟ้องในระบบกฎหมายไทย
เปิดพยานหลักฐานเสี่ยงทำลายความจริง
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกตั้งข้อสังเกต คือ การกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องเปิดเผยพยานหลักฐานให้ผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ตั้งแต่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน ซึ่งองค์กรตำรวจเห็นว่า อาจทำให้พยานหลักฐานถูกยุ่งเหยิง ทำลาย หรือเกิดข้อสงสัย จนกระทั่งผู้กระทำผิด “อาจ” พ้นผิดได้ แม้จะมีความผิดจริงก็ตาม
พร้อมกันนี้ยังเตือนว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว อาจละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งมีบทบัญญัติรองรับกลไกตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูลไว้อย่างชัดเจนแล้ว
เตือน“อย่าทำลายสมดุล”
ท้ายที่สุด แถลงการณ์นี้สะท้อนความกังวลของฝ่ายตำรวจว่า หากร่างกฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบ อาจก่อให้เกิดการแทรกแซง และบั่นทอนประสิทธิภาพของกระบวนการสอบสวนอาญา กระทบต่อทั้งประชาชนและสังคมในภาพรวม
พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรม ตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ และพิจารณาร่างกฎหมายนี้อย่างรอบคอบและรอบด้าน