นายธวัชชัย ไทยเขียว หนึ่งในคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และรองโฆษก ก.พ.ค.ตร. โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “ธวัชชัย ไทยเขียวกับบ้านสวนพอเพียงนิเวศน์” ถึงการพิจารณาวินิจฉัยอุทรณ์ร้องทุกข์ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน
โดยจะมีการพิจารณาลงมติว่า การลงนามคำสั่งดังกล่าว ที่ลงนามโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในวันที่ 1 ส.ค.นี้
สำนวนเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2567 นีมีกรรมการเข้าร่วมประชุมครบทุกท่าน ยกเว้น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เพียงท่านเดียวที่เห็นว่ามีกรณีอันอาจถูกคัดค้านได้ตามข้อ 34 ของกฎ ก.พ.ค.ตร.ฯ ที่ได้ประสงค์ขอถอนตัวเองออกจากการพิจารณาวินิจฉัยฯ และที่ประชุม ก.พ.ค.ตร. ได้มีมติให้งดการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้
ก.พ.ค.ตร. ได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย คือ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้อุทธรณ์ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คู่กรณีในอุทธรณ์ ที่มอบหมายให้ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทน โดยที่แต่ละฝ่ายได้มีความประสงค์ที่จะยื่นคำแถลงเป็นหนังสือและแถลงด้วยวาจาต่อ ก.พ.ค.ตร.
คำแถลงที่เป็นหนังสือและคำแถลงด้วยวาจาของแต่ละฝ่ายนั้น จะยกข้อเท็จจริงที่มิเคยได้ยกขึ้นอ้างไว้แล้วไม่ได้ เว้นแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นสำคัญ ที่คู่กรณีสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุจำเป็นหรือพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ไม่อาจเสนอต่อ ก.พ.ค.ตร. หรือกรรมการเจ้าของสำนวนก่อนหน้านั้นได้
และ ก.พ.ค.ตร. จะรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ได้ก็ต่อเมื่อได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีอีกฝ่ายได้แสดงพยานหลักฐาน หรือ ข้อเท็จจริงหักล้างแล้วเป็นสำคัญด้วยเช่นกัน
โดยประธานฯ ได้ให้ผู้อุทธรณ์เป็นผู้แถลงก่อน และตามมาด้วยคู่กรณีแถลงต่อในลำดับถัดมา โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 13.50-16.35 น. หลังจากนั้น คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในบันทึกรายงานบวนการพิจารณาในการแถลงดังกล่าว
ก.พ.ค.ตร. ได้นำคำแถลงที่เป็นหนังสือและการแถลงด้วยวาจาดังกล่าวทั้งหมดไปประชุมพิจารณาต่อเนื่อง ร่วมกับคำอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ คำชี้แจง และพยานหลักฐานอื่นที่ ก.พ.ค.ตร. ได้มาจากการแสวงหาข้อเท็จจริงไว้ก่อนหน้านี้แล้วต่อจนถึง 18.30 น. แต่ไม่แล้วเสร็จ จึงได้มีมติให้นำไปพิจารณาต่อเนื่องในวันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม เวลา 13.30 น.
หลังจากนั้น ก.พ.ค.ตร. จะมีการจัดทำคำวินิจฉัยเป็นหนังสือโดยเร็ว และจะสามารถเปิดเผยอย่างเป็นทางการได้ ก็ต่อเมื่อ ก.พ.ค.ตร. ได้จัดส่งคำวินิจฉัยไปให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายทราบ ตามที่อยู่ที่คู่กรณีแต่ละฝ่ายได้แจ้งไว้ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎ ก.พ.ค.ตร. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. 2567 และกฎ ก.พ.ค.ตร. ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. 2567
ด้วยผมในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ จึงขออนุญาตไม่แถลงหรือให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม โดยทุกท่านสามารถอ่านจากคำวินิจฉัยที่ได้เปิดเผยที่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวแล้วข้างต้นในโอกาสต่อไป
ขณะเดียวกัน นายธวัชชัย ไทยเขียว ยังได้โพสตเฟซบุ๊กด้วยว่า เมื่อน้ำกับน้ำมันเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน หลายท่านอาจะไม่ทราบว่า มันมีสารตัวหนึ่ง คือ Emulsifier หรือ สารที่ช่วยให้น้ำกับน้ำมันเข้าเป็นเนื้อเดียวกันครับ
นักวิเคราะห์หลายท่านมีจินตนาการ ก.พ.ค.ตร. ว่าหลังจากกรรมการท่านหนึ่ง คือ ท่านพลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ขอถอนตัวงดกรณีอันอาจถูกคัดค้านได้ตามข้อ 34 ของกฎ ก.พ.ค.ตร.ฯ เลยทำให้ ก.พ.ค.ตร. ที่นั่งพิจารณาเหลือ 6 ท่าน นั้น ก็จะเหลือเป็นอดีตตำรวจ 3 ท่าน และบุคคลที่มิใช่ตำรวจ 3 ท่าน ดังนั้น ถ้าเสียงออกมาเท่ากันจะทำอย่างไร เสมือนกำลังแยกน้ำมันออกไปจากน้ำ
ขอเรียนเบื้องต้นไว้ก่อนว่า การปฎิบัติงานของ ก.พ.ค.ตร. ทุกท่านในทุกๆ สำนวนนั้น จะไม่มีใครพรากความถูกต้องเป็นธรรมตามข้อเท็จจริงและข้อกฏหมายไปจากคู่กรณี ไม่ว่าฝ่ายใดไปได้ เพราะ ก.พ.ค.ตร. ทุกท่านยึดคาถาบทเดียวกันเป็นสรณะที่เป็นสารช่วยให้น้ำกับน้ำมันเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน คือ
“พวกเราเป็นวัยที่ไม่มีอนาคตแล้ว เหลือแต่เวลาในช่วงชั้นสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น” ครับ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคำถามจำนวนมากว่า ถ้าเสียงเท่ากันจะทำอย่างไร ก็ถือโอกาสเผยแพร่ความรู้กรณีดังกล่าวไปเสียด้วยว่า… ตามระเบียบ ก.พ.ค.ตร.. ว่าด้วยการประชุมของ ก.พ.ค.ตร. พ.ศ.2567 ข้อ 16 วรรคสอง
“กรรมการ ก.พ.ค.ตร. คนหนึ่งให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน และห้ามมิให้งดออกเสียง ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด และในกรณีที่มีความเห็นแย้งให้ทำความเห็นแย้งไว้ก็ได้ เว้นแต่เป็นการลงมติ โดยวิธีการลงคะแนนลับ”
ซึ่งก็สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 82 วรรคสอง “กรรมการหนึ่งคนให้มีหนึ่งเสียงในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด”
นั่นหมายความว่า ในวิธีการทางปกครอง ถ้าเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงชี้ขาดได้ครับ