วีรพัฒน์ ยก 4 ข้อ ดักทางศาลรัฐธรรมนูญ คว่ำดิจิทัลวอลเลต

10 ม.ค. 2567 | 10:15 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ม.ค. 2567 | 10:26 น.

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการ-ที่ปรึกษากมธ.วินัยการเงิน การคลัง ยก 4 ข้อ คนชี้ ดิจิทัลวอลเลต วิกฤต-ไม่วิกฤต เป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ไม่ใช่อำนาจตุลาการ

วันนี้ (10 มกราคม 2567) นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายและที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ข้อสังเกตเบื้องต้นถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตีความข้อกฎหมายเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ดังนี้

ข้อแรก คณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่หลัก คือ เป็นปรึกษาทางกฎหมายของรัฐบาล ไม่ได้มีหน้าที่ให้ไฟแดงไฟเขียว โดยเมื่อให้คำปรึกษาแล้ว รัฐบาลจะตัดสินใจนำคำปรึกษาไปปฏิบัติต่ออย่างไร ย่อมเป็นอำนาจโดยชอบที่รัฐบาลกระทำได้ในฐานะองค์กรหลักที่แบ่งใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งมีคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นส่วนย่อยภายใต้รัฐบาล

และในกรณีนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ตีความแล้วว่า ไม่มีข้อกฎหมายใดห้ามไว้เกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เพียงแต่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามเงื่อนไข กระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย หากรัฐบาลดำเนินการผิดพลาดไป รัฐบาลย่อมต้องรับผิดชอบ 

ข้อที่สอง ประเด็นที่แท้จริงของเรื่องนี้และอาจยังไม่มีการพูดถึงเพียงพอ อยู่ที่ว่าการออกกฎหมายเพื่อดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มีส่วนที่ถือเป็น "การกระทำทางรัฐบาล" (l'acte de gouvernement หรือ act of government) หรือ "ข้อพิจารณาทางการเมือง" (political question) หรือไม่ 

โดยหากพิจารณาว่าเนื้อหาในการพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วน หรือการประเมินภาวะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องนโยบายทางการเมือง ที่ต้องอาศัยดุลพินิจและการตัดสินใจทางการเมือง โดยฝ่ายบริหารและควบคุมตรวจสอบโดยรัฐสภา ก็อาจเข้าลักษณะหลักสำคัญทางกฎหมายมหาชนว่า

ถือเป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหารดำเนินการ และตรวจสอบผ่านรัฐสภาและกลไกทางสังคม เช่น หากนโยบายมีปัญหา สภาย่อมไม่เห็นชอบ หรือหากเห็นชอบแล้วล้มเหลวประชาชนย่อมลงโทษทั้งรัฐบาลและสภา

"แต่ไม่ใช่กรณีที่จะไปร้องให้องค์กรตุลาการ หรือองค์กรอื่นเข้ามาตีความวินิจฉัยเรื่องนโยบายแทนฝ่ายการเมือง" 

แน่นอนว่าการพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วน หรือการประเมินภาวะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ต้องยึดโยงกับความรับผิดชอบที่เคยหาเสียง หรือตอบสนองความต้องการของประชาชน

หากปล่อยให้เรื่องดังกล่าวตัดสินครอบงำได้โดยผู้ที่ไม่เคยไปรับฟังหรือรับผิดชอบอะไรต่อประชาชน ก็อาจเป็นเรื่องผิด ไม่ใช่เฉพาะในแง่กฎหมายมหาชน แต่ยังผิดต่อหลักมโนสำนึกพื้นฐานในทางประชาธิปไตยอีกด้วย 

ข้อที่สาม หากมองได้ว่าการออกกฎหมายเพื่อดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มีส่วนที่ถือเป็น "การกระทำทางรัฐบาล" หรือ "ข้อพิจารณาทางการเมือง" ก็ไม่ได้หมายความว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะปราศจากการตรวจสอบโดยสิ้นเชิง นอกเหนือจากรัฐบาลและรัฐสภา 

เพราะส่วนอื่นที่เป็นการกระทำทางปกครองหรือการกระทำอื่นที่ไม่ใช่เรื่องนโยบาย เช่น เมื่อออกกฎหมายกู้เงินมาแล้ว จะไปปฏิบัติการใช้จ่ายเงินอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันอย่างไร หรือมีการป้องกันการทุจริตคดโกงเงินในส่วนใดหรือไม่ ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลและองค์กรอื่นเข้าไปตรวจสอบได้

เพียงแต่ต้องแยกให้ชัดว่าไม่เกี่ยวกับการพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วน หรือการประเมินภาวะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เป็นเรื่องนโยบายทางการเมืองซึ่งควบคุมโดยรัฐสภาและกลไกทางสังคม

ข้อที่สี่ นักกฎหมายต้องตีความตัวบทกฎหมายบางมาตรา ในกฎหมายวินัยการเงินการคลังอย่างแหลมคมและแยบคาย เช่น ระวังอย่าตีความว่าต้องรอให้เกิดวิกฤตก่อนเท่านั้น จึงจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหา ความจริงแล้วหน้าที่ของรัฐบาลและระบบกฎหมายที่ดีคือ การเตรียมการและดำเนินการทันถ่วงทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤต 

การถกเถียงกันว่าเกิดวิกฤตขึ้นแล้วหรือไม่จึงอาจเป็นเรื่องต้องระวัง โดยอาจต้องตีความเสียใหม่ว่า หากรัฐบาลเล็งเห็นความจำเป็นที่จะลดโอกาสหรือเลี่ยงการเกิดวิกฤต กฎหมายก็ไม่ควรถูกตีความให้เป็นอุปสรรค โดยเฉพาะวิกฤตบางประการประเมินยากว่าจะเกิดขึ้น ณ จุดใด และหากรอให้เกิดก่อนก็ยิ่งแก้ไขยาก 

นอกจากนี้ ยังน่าคิดต่อว่ากฎหมายบางบทบางมาตราที่ถูกชักร่างขึ้นมาในยุคหลังการรัฐประหารยึดอำนาจ โดยกลุ่มผู้ที่หวาดกลัวความเชื่อมโยงระหว่างนักการเมืองและประชาชนนั้น มีบางบทบางมาตราที่ผิดเพี้ยนเชิงแก่นหลักการอันสมควรเร่งแก้ไข ไม่ให้กลายมาเป็นอุปสรรคในการพัฒนารักษาผลประโยชน์ของประชาชนต่อไปหรือไม่